พิธีกรรมงบประมาณปี 2564 วันที่สองหงอย “สาทิตย์” ประเดิมแฉมีคนอ้างเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีมีงบในมือ 300 ล้าน “รังสิมันต์” ซัดมีงบสร้างความแตกแยกพันล้าน ทำให้ไฟใต้ไม่มีวันดับ “บิ๊กช้าง” โต้เป็นแค่โครงการพูดคุยสันติสุข อัดมีเพจจาบจ้วงเพิ่ม กอ.รมน.มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบ “ประยุทธ์” สอนทั่นผู้แทน อย่ามองเป็นส่วนเสี้ยวต้องดูภาพรวม ลั่นรัฐบาลให้ทั้งปลาและเบ็ดบนหลักเป็นธรรมและสุจริต “วิษณุ” รับยุคบิ๊กตู่กู้เงินมากสุด เพราะอยู่ยาวนานเกิดวิกฤติแบบไม่เคยมี
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม ยังคงมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 10 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอเป็นวันที่สอง
โดยก่อนประชุม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฝ่ายค้านอภิปรายว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณไม่ตอบโจทย์การบริหารประเทศว่า ไม่วิจารณ์ แต่เป็นธรรมดา เนื่องจากเป็นบทบาทที่สำคัญของ ส.ส.ในการอภิปราย เมื่อพูดกันในหลักการเดี๋ยวก็จบ แล้วไปพูดคุยกันในกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าไม่มีการตั้งงบในส่วนของแก้ปัญหาวิกฤติโควิด-19 นั้น ผู้รู้ก็ต้องไปชี้แจงใน กมธ. จะเห็นภาพได้มากกว่า เพราะร่าง พ.ร.บ.งบฯ นั้นมีการเตรียมทำตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด-19 พอมีโควิด-19 ก็มาปรับให้มันสอดคล้อง มันถึงได้ช้าไปเป็นเดือนก่อนเข้าสภา ยืนยันว่ามีแผนรองรับ
เมื่อถามว่า ข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลก่อหนี้มากที่สุดดูเกินจริงไปหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ถ้าว่าจะจริงมันก็จริง เพราะรัฐบาลอยู่นาน เวลาพูดถึงรัฐบาลนี้ต้องไปนับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 เขาอยู่นานกว่าคนอื่น ทำงานมากกว่าคนอื่น และต้องใช้เงิน รวมถึงต้องมาเจอวิกฤติโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลอื่นไม่เจอ เมื่อต้องใช้เงิน ดังนั้นจะเอาเงินมาจากไหน สมัยก่อนมาจากภาษีอากร วันนี้ประชาชนไม่มีรายได้ ปิดบ้าน ปิดเมือง ปิดประเทศ ล็อกดาวน์ รายได้ก็ไม่มี รัฐบาลจำเป็นต้องทำ 2 อย่างคือ 1.แก้ปัญหาโควิด-19 และ 2.แก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด-19 ตรงนี้ก็มีการชดเชยเยียวยากันอยู่ แล้วจะไปเอาเงินจากไหน ก็ต้องเอามาจากการกู้ ดังนั้นจะกู้มากกู้น้อยก็ไม่แปลก ขอให้มีปัญญาใช้หนี้เขา อย่าเบี้ยวก็แล้วกัน
ถามอีกว่า ฝ่ายค้านขู่ว่าจะคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบฯ ฉบับนี้ นายวิษณุกล่าวว่า ตามกฎหมายเขามีอำนาจอยู่ 3 อย่างคือ 1.เห็นชอบ 2.ไม่เห็นชอบ และ 3.งดออกเสียง ก็ทำกันมาตลอดทุกสมัย หากเสียงส่วนใหญ่โหวตคว่ำ มันก็คว่ำ รัฐบาลก็ลาออก หรือยุบสภา ผลมันเป็นแบบนั้น เพราะเท่ากับสภาไม่ไว้ใจ เมื่อถามว่ามันคงไม่ถึงขั้นนั้นใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่รู้ ต้องดูวันที่ 3 ก.ค.ที่จะมีการลงมติ เมื่อซักต่อเนื่องว่ามันจะเกี่ยวข้องกับกระแสข่าวเรื่องการยุบสภาหรือไม่ นายวิษณุย้อนถามว่า ใครพูด ไม่เห็นมีกระแสอะไรเลย
และในเวลา 09.30 น. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ได้เป็นประธานการประชุม ซึ่งบรรยากาศการอภิปรายเป็นไปอย่างจืดชืด ส.ส.หลายคนอภิปรายในประเด็นต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งในซีกพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยหลายคนตำหนิการทำงานสำนักงบประมาณที่ตัดงบไม่สมเหตุผล โดยเฉพาะงบที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ต่อมาเวลา 13.00 น. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า การทำงบประมาณ 2564 สำนักงบประมาณเสนอให้ปรับปรุงเมื่อเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่กลับไม่มีหน่วยงานใดเสนอปรับลดงบประมาณตัวเองเพื่อแก้ไขปัญหาโควิดเลย ส่งผลให้สำนักงบประมาณต้องตัดงบประมาณเอง และสุดท้ายต้องเอาไปไว้ที่งบกลาง ความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง เมื่องบประมาณ 2564 ไม่มีการแก้ไข จึงเป็นเพียงงบประมาณปกติเท่านั้น ไม่ใช่จัดทำงบในภาวะฉุกเฉิน และถ้างบประมาณ 2564 ไม่มีการปรับแผนแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำแล้ว ก็ต้องไปใช้เงินจากพระราชกำหนดกู้เงิน 4 แสนล้านบาท
“ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์เคยประกาศว่าห้ามใครมาแทรกแซงเงิน 4 แสนล้านบาท แต่ตอนนี้ที่จังหวัดตรังพบว่ามีคนแอบอ้างเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี และระบุว่ามีงบในมือ 300 ล้านบาท ใครจะขอให้บอกมา ดังนั้น หากจะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำต้องปรับวิธีการกลั่นกรองงบเงินกู้ใหม่ทั้งหมด และต้องปรับโครงสร้างงบประมาณ 2564 ใหม่เพื่อให้เป็นงบสำหรับสถานการณ์วิกฤติ ไม่ใช่ทำเหมือนงบปกติแบบที่ผ่านมา" นายสาทิตย์กล่าว
ซัดจัดงบแตกแยก
ต่อมานายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายถึงการแก้ปัญหาชายแดนใต้ว่า มีการเขียนงบตบตาสภาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ขณะที่โครงการที่มีปัญหายังซุกเอาไว้ เช่น โครงการโฆษณาชวนเชื่อ หรืองบล้างสมองปลูกค่านิยมให้คิดแบบกองทัพแบบทหาร โดยได้เปลี่ยนชื่อเป็นโครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อสันติสุข ขณะที่รายละเอียดยังเหมือนปี 2563 การทำเอกสารเช่นนี้คงคิดว่าสภาเป็นตรายางเหมือนยุค คสช.หรือไม่ รวมทั้งในปีนี้ กอ.รมน.ได้เพิ่มงบข่าวกรอง 926 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 17 ล้านบาท แบ่งเป็นงบข่าวกรองเชิงรุก 369 ล้านบาท งบมวลชนด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนใต้นอกแผนบูรณาการอีก 665 ล้านบาท รวม กอ.รมน.มีงบสร้างความแตกแยกในพื้นที่ 1,034 ล้านบาท รวมทั้งเว็บไซต์ Pulony.blogspos ที่ถูกอภิปรายในปีที่ผ่านมา เพราะสร้างความแตกแยก วันนี้เว็บไซต์ดังกล่าวก็ยังดำรงอยู่
“เป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะทิศทางของความมั่นคงไม่ใช่เทคโนโลยีมาแอบและเก็บข้อมูลบุคคล โดยตำรวจและทหารได้เก็บดีเอ็นเอบุคคล และเหมารวมในชุมชนหลายครั้งโดยไม่ได้ยินยอม จังหวัดชายแดนใต้จะเป็นห้องทดลองให้ประชาชนกว่า 2 ล้านคน เป็นหนูทดลองนวัตกรรมการควบคุมเก็บข้อมูลล้างสมองประชาชน วันนี้ยังไม่พร้อมทดลองไปก่อน จนกว่ามีจังหวะก็ค่อยเอาใช้กับคนทั้งประเทศเพื่อให้ควบคุมได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ทนต่อรัฐบาลต่อไป การจัดงบเช่นนี้จึงทำให้ประชาชนไม่ไว้ใจ และยากต่อการทำให้เกิดสันติภาพ" นายรังสิมันต์ระบุ
และในเวลา 13.35 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางมาร่วมประชุมสภา โดยให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายในวันแรกว่า ต้องขอขอบคุณสมาชิกทุกคน เข้าใจว่าทุกคนหวังดี แต่บางครั้งต้องดูข้อมูลที่สังเคราะห์แล้ว แต่ถ้าดูข้อมูลทีละชิ้นก็คงไม่ดีทั้งหมด อย่าลืมว่ารัฐบาลทำงานด้วยการสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด ตัวเลขอาจคลาดเคลื่อนบ้าง แต่เราก็จะมีการสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดแนวนโยบายและกรอบในการจัดทำงบประมาณ ถ้าทุกคนมีแต่ความต้องการทั้งหมด มันก็ไม่มีเงินพร้อมกันหมดในเวลาเดียวกัน
“การทำงานของรัฐบาล นอกจากให้เบ็ดไปแล้วก็ต้องให้ปลาไปด้วย ซึ่งเบ็ดนั้นถือว่าสำคัญ แต่เราต้องตัดทอนงบที่ไม่จำเป็น และไม่ได้ผลออกไปก่อน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว และว่า หลายอย่างที่ฟังในสภาก็เป็นประโยชน์ แต่หลายอย่างยังมีความไม่เข้าใจกันอีกเยอะ ถ้ามองอะไรเป็นเสี้ยวๆ ก็มีปัญหาทั้งหมด แต่ถ้ามองอย่างนายกฯ และ ครม.มอง ก็จะเป็นอีกแบบ โดยนำทุกอย่างมารวมกัน ก่อนตัดสินใจทำอะไรก่อนหรือหลัง ที่สำคัญนายกฯ ไม่ได้กำหนดใช้เงินงบประมาณคนเดียว เรามีคณะกรรมการกลั่นกรอง ซึ่งหลายคนไม่เข้าใจ หลายอย่างที่พูดออกมาฟังดูแล้วดี แต่ในการปฏิบัติมันทำไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องเริ่มต้นด้วยกฎหมายและระเบียบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ผ่านมารัฐบาลเสนอกฎหมายให้พิจารณาหลายฉบับ แต่ยังไม่สามารถออกมาบังคับใช้ได้ เพราะมัวแต่สนใจเรื่องความขัดแย้ง หน้าที่ของกฎหมายมันต้องมี
ไม่เถียงก่อหนี้เยอะ
นายกฯ กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านให้ฉายาผู้นำแห่งการก่อหนี้ว่า มันก็เป็นอย่างนี้ทุกรัฐบาล แต่ว่าวันนี้ปัญหาเรามากขึ้นก็ต้องใช้งบประมาณมากขึ้น ไม่โทษใคร เพราะโทษใครไม่ได้ โทษประชาชนก็ไม่ได้ โทษคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง สิ่งสำคัญสุดคือการจัดงบประมาณปีนี้ไม่ใช่จะได้ทุกคน และถ้าไม่ได้จะได้เมื่อไหร่ แต่ถ้าบอกว่าจะได้ทั้งหมดไม่มีคนเสียก็ไม่ได้ ถ้าภาษีเก็บไม่ได้ก็ไม่มี นี่คือหลักการสูงสุด ต้องเข้าใจถึงความต้องการของประชาชนคนไทย มีความต้องการมากที่อยากมีความเป็นอยู่ที่ดี เราคิดได้ว่าต้องการอะไร แต่รัฐบาลต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน
“ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และบูรณาการร่วมกันเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดของประเทศชาติประชาชน อย่าบอกแต่ตัวเองว่าต้องการ แต่ไม่ไปดูว่าที่ผ่านมาได้อะไรมาแล้วบ้าง ไม่ใช่นายกฯ ต้องการให้ทุกคนไม่ขออะไรเลย ซึ่งมันไม่ใช่ เป็นหน้าที่ที่นายกฯ ต้องทำ แต่ถ้าทุกคนไม่ยอมกันเลยมันก็ไปไม่ได้”
ขณะที่การอภิปรายในสภายังคงดำเนินไป โดยมี ส.ส.รัฐบาลและฝ่ายค้านสลับกันขึ้น แต่บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา ทำให้เมื่อเวลา 16.00 น. นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ลุกขึ้นหารือว่า ทำไมมีแต่ ส.ส.ฝ่ายค้านนั่งฟัง และรอขึ้นอภิปราย แต่ ส.ส.รัฐบาลหายไปหมด ทำไมวังเวงแบบนี้ ไม่อยากใช้ข้อบังคับการประชุมให้มีการนับองค์ประชุม ทำให้นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ ที่ทำหน้าที่กล่าวติดตลกว่า "อย่างน้อยครูมานิตย์ก็มีประธานนั่งเป็นเพื่อนอยู่"
จากนั้น นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ลุกขึ้นยืนยันว่า การประชุมบรรยากาศเป็นไปด้วยดี ส.ส.รัฐบาลยังอยู่ครบ นั่งอยู่รอบๆ ห้องประชุมสภา เพราะมีความถนัดแต่ละด้านไม่เหมือนกัน จึงรอและรับฟังการอภิปรายอยู่ตลอด
ต่อมานายสุชาติได้ให้นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป.อภิปราย โดยนายเทพไทกล่าวว่า ขอพูดแทนคนภาคใต้ 9.4 ล้านคน เพื่อทวงความเป็นธรรมให้หลังเสียโอกาสในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานมาตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ที่มีแนวความคิดพัฒนาพื้นที่ที่เลือกพรรคตัวเองก่อน แต่เมื่อได้ฟังคำแถลงงบประมาณรายจ่ายปี 2564 ของ พล.อ.ประยุทธ์เรื่องพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ที่มีงบประมาณทั้งสิ้น 109,023.8 ล้านบาท และมีงบก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับพี่น้องชาวภาคใต้ที่มีความใฝ่ฝันต้องการเห็นถนนมอเตอร์เวย์ในภาคใต้เหมือนภูมิภาคอื่นๆ ที่มีครบทุกภาค ซึ่งได้เสนอเรื่องนี้ต่อรัฐบาลทุกปี แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้น
ต่อมาเวลา 16.25 น. พล.อ.ประยุทธ์ลุกขึ้นชี้แจงว่า รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลคนทุกภาคทุกจังหวัด โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลที่มีอยู่เดิมว่าจะพัฒนาอย่างไรได้บ้าง สำหรับภาคใต้เห็นใจ จึงได้สั่งการให้คมนาคมศึกษาในเรื่องนี้แล้วว่า ในระยะแรกจะต่อเส้นทางตรงไหนได้บ้าง เพื่อให้ลดระยะทางไปได้ เป็นขั้นตอนไป จากนั้นก็จะได้ทำเป็นเส้นทางตรง หลายอย่างต้องอาศัยพื้นที่ศึกษาอีกครั้งหนึ่ง กราบเรียนให้สบายใจขึ้น ถ้าเป็นไปได้ก็จะเร่งรัดให้ดำเนินการได้โดยเร็ว สิ่งสำคัญที่สุดวันนี้คือเราได้พัฒนาภาคใต้ตามลำดับ ถือว่ามากกว่าช่วงที่ผ่านมาพอสมควร
“ผมจะเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งใหม่ทั้งประเทศในระยะต่อไป ตอนนี้กำลังให้กระทรวงคมนาคมศึกษาทำแผนเชื่อมโยงเส้นทางสายใหม่ตะวันตก ตะวันออก เหนือ ใต้ ภาคกลางไปอีสาน ที่ไม่ทับเส้นทางเดิม” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว และว่า สิ่งใดที่เป็นความต้องการของ ส.ส.และประชาชน วันนี้โครงการต่างๆเสนอเข้ามาแล้ว ดังนั้นก็อยู่ที่ขั้นตอนของ กมธ.ในการแปรญัตติ แต่ขอย้ำว่าแปรญัตติได้เงินออกมาจากตรงไหน ต้องไปทำโครงการที่อยู่ในตรงนั้น อีกวิธีการหนึ่งคือ เมื่องบประมาณผ่านไปแล้ว แต่ไม่พร้อมหรือทำไม่ได้ ก็ปรับไปทำที่อื่น มีแค่นี้หลักการในการทำงบประมาณของรัฐบาลชุดนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสุจริต
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ชี้แจงกรณีนายรังสิมันต์กล่าวถึงงบ กอ.รมน.ล้างสมองพี่น้องชายแดนใต้ว่า ตามแผนบูรณาการจังหวัดภาคใต้ปี 64 ในโครงการพูดคุยสันติสุข เป็นนโยบายพูดคุยระดับพื้นที่ ไม่ได้ล้างสมองเยาวชน แต่เป็นโครงการให้ทุกคนอยู่ร่วมกันภายใต้พหุวัฒนธรรม และมุ่งให้ความรู้เฉพาะครูและผู้ปกครองในการดำเนินชีวิต และนำความรู้นำกลับไปอบรมบุตรหลานให้เป็นคนดี ส่วนเรื่องการซื้อซิมโทรศัพท์ใหม่ โดยเก็บรูปถ่าย ข้อมูลบัตรประชาชน และดีเอ็นเอ ก็เพื่อมุ่งคุ้มครองบุคคล ทรัพย์สิน ไม่ได้ละเมิดเพื่อป้องกันการก่อเหตุ และหาผู้ก่อเหตุ โดยเฉพาะเรื่องดีเด็นเอเป็นการขอความร่วมมือเท่าที่จำเป็น
“เว็บไซต์ Pulony.blogspos ที่อภิปรายว่าสร้างความแตกแยก หรือให้ร้ายกลุ่มบุคคล ก็ไม่จริง เพราะปัจจุบันมีเว็บไซต์จำนวนมากเผยแพร่ข่าวปลอม ข่าวลวงทำให้เกิดความเสียหาย โจมตีการทำงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ และบางเพจก็หมิ่นเหม่จาบจ้วงสถาบันฯ การทำงานของหน่วยก็คือติดตามตรวจสอบ การเผยแพร่ข่าวปลอมข่าวลวงเหล่านั้น เพื่อให้เกิดข่าวสารและประชาสัมพันธ์ในสิ่งที่ถูกต้องให้แก่รัฐบาล” พล.อ.ชัยชาญระบุ
ส่วนความเคลื่อนไหวนอกรัฐสภา นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ระบุว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลเป็นการจัดงบประมาณที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ส่วนใหญ่เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำ ส่วนที่เป็นงบลงทุนน้อยเพื่อพัฒนาประเทศน้อยมาก เห็นชัดว่ารัฐบาลจัดงบแบบกระเบียดกระเสียร การจัดงบประมาณครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนปัญหาความจริงของประชาชน มีความเป็นไปได้ว่าในช่วงกลางปี 2564 การใช้จ่ายภาครัฐ จะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน เพราะการเก็บภาษีจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะฉะนั้นแล้วพอถึงกลางปี 2564 รัฐบาลจะต้องออกพระราชกำหนดกู้เงินเพื่อนำมาใช้จ่ายตามงบประมาณ
“ถึงวันนี้รัฐบาลยอมรับแล้วว่าการเก็บภาษี 2563 พลาดเป้าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท เชื่อว่าในปี 2564 จะเก็บภาษีพลาดไม่น้อยกว่าแสนล้านบาทอย่างแน่นอน เพราะเศรษฐกิจพังมาก โดยสรุปรัฐบาลกู้เงินเพื่อมาจัดทำงบประมาณมากกว่า 600,000 ล้านบาท ในกลางปี 2564 รัฐบาลจะต้องกู้เพิ่มอีก 1.5 แสนล้านบาท รวมเป็นเงินกู้ 7.5 แสนล้านบาท เต็มเพดานเงินกู้ เห็นชัดว่าการจัดงบประมาณครั้งนี้เป็นการจัดแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด แล้วไปตายเอาดาบหน้า และรัฐบาลนี้กู้เงินมาใช้จ่ายเต็มเพดานเงินกู้แล้ว
นายวัน อยู่บำรุง ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรค พท. กล่าวว่า งบประมาณปี 2564 เป็นการจัดทำงบประมาณแบบแอ๊บนอร์มอล หรือแบบไม่ปกติ เพราะจัดตามกรอบของแผนงานยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งเป็นแผนงานที่ล้าหลังไม่สามารถรับมือวิกฤติประเทศเลย.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |