เมืองไทย "คนรวย" มีเยอะ
แต่รวยแล้ว......
ใช้ความรวย "สร้างคน-สร้างชาติ-พัฒนา" แบบสุจริต มุ่งมั่น ก็อาจมีเยอะ
ที่ชัดเจน "ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์" คนหนึ่งละ!
สาม-สี่วันก่อน ท่านแถลง..........
"คณาจารย์นักวิจัยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ทำยาสเปรย์ Cannabis กัญชา บรรเทารักษาอาการเจ็บปวดและอาเจียนจากการรักษาทางเคมีบำบัด สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้สำเร็จแล้ว........."
ดร.อาทิตย์ ปัจจุบัน ท่านเป็น "อธิการบดี" มหาวิทยาลัยรังสิต
อดีต เป็นนักการเมือง.........
เป็นทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งรัฐมนตรีถึง ๓ กระทรวง
คือ วิทยาศาสตร์, ต่างประเทศ และสาธารณสุข!
ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า
การสร้างชาติบ้านเมืองนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมือง มีตำแหน่งทางการเมือง จึงจะทำได้
เป็นราษฎรเต็มขั้น........
ใช้เพียง "สุจริตจริงใจ" ก็สร้างประโยชน์สร้างสรรค์ต่อชาติบ้านเมืองได้เช่นกัน
ดีกว่า "นักการเมือง" บางยุค-บางสมัยด้วยซ้ำ!
"กัญชา" นั้น
ก็คือพืช "สมุนไพร" ชนิดหนึ่ง ป่าเขตร้อนชื้นบ้านเรา มีพันธุ์พืชมากกว่า ๒ หมื่นชนิด
ใช้เป็น "สมุนไพร" ได้ ร่วม ๒ พันชนิด!
ต้องรู้กันก่อน สมุนไพรอย่างเดียวกัน เช่น กัญชา มีอยู่ทั่วไปในโลก
แต่วิจัยแล้ว อย่างเดียวกัน มีแร่ธาตุเป็นสรรพคุณทางยา ไม่เหมือนกัน
ด้วยภูมิศาสตร์ทางดิน-ฟ้า-อากาศ สมุนไพรในเขตป่าร้อนชื้นของไทย
สรรพคุณ "ครบเครื่อง" เจ๋งสุด!
ไม่งั้น สหรัฐไม่ยิกๆ จะทำ TPP กับไทย ในเงื่อนไข-สัญญา มุ่งไปที่พืชสมุนไพรไทยด้วยหรอก
ตอนนี้ โลกตื่นเรื่องพืชกัญชามาก
ยอมรับกันว่า กัญชามีสรรพคุณทางยา ใช้บำบัด-รักษาได้หลายโรค โดยเฉพาะมะเร็ง
บางประเทศ ผลิตเป็นยาออกใช้แล้วก็มี เช่นในสหรัฐ
บางประเทศ ถึงขั้นเอาพืชกัญชาไปจดสิทธิบัตรก็มี!
คนไทยทราบข่าว........
ก็หยิบข่าวดิบๆ ไปค่อนขอดรัฐบาลบ้าง สาธารณสุขบ้าง ว่าเป็นเฒ่าล้านปี
มีของดี แทนที่เอามาใช้ กลับออกกฎหมาย ตีตราเป็นยาเสพติดร้ายแรง ประเภท ๕
ห้ามปลูก-ห้ามใช้-ห้ามมี-ห้ามขาย กระทั่ง "นำมาใช้ทางการแพทย์" ก็ยังไม่ได้!
ต้องเข้าใจก่อน อย่าด่วนสรุป ใครเต่า ใครจรวด
ทุกอย่างในโลก มีคุณ-มีโทษ ทั้งนั้น
มันเป็นเรื่องของการ "เข้าถึง-ยังเข้าไม่ถึง" ทางวิทยาการในแต่ละยุคสมัย
ในยุควิทยาการมนุษย์ "ยังเข้าไม่ถึง"..........
อารยประเทศ ก็จัดกัญชาอยู่ในหมวดยาเสพติดร้ายแรง
เมื่อการ "วิจัย-ค้นคว้า" ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ
สามารถแยกส่วนคุณ-ส่วนโทษ นำไปทดลองทางบำบัด-รักษาได้เสถียรแล้ว
ก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนสถานะกัญชาไปตามที่วิทยาการรู้ทัน
เปรียบให้เห็นง่ายๆ...........
งูนั้น มีพิษ อันตราย แต่เมื่อวิจัย-ทดลอง จนสามารถแยกเอาคุณในโทษมาใช้ทางบำบัด-รักษาได้
ก็ไม่ได้หมายความว่า "งูพิษ" พ้นจากความเป็นสัตว์อันตราย
ยังคงอันตรายเหมือนเดิม
เราจึงเห็น เช่นที่ "สถานเสาวภา" เลี้ยงงูพิษแบบ "ควบคุม" ไม่ปล่อยเพ่นพ่านตามใจชอบ
กัญชา ก็เหมือนกัน............
ถึงชัดเจนว่ามีคุณ มันก็มีโทษ การใช้-การมี ถึงอย่างไรก็ต้อง "ควบคุม" อยู่ดี
แพทย์ไทย สาธารณสุขไทย ใช่ว่าไม่รู้ -ไม่ประสี-ประสา ว่ากัญชา "คุณมหันต์" ทางยา
เขารู้ เหมือน ฝรั่ง-จีน-ญี่ปุ่น รู้
นักวิชาการไทย นำกัญชา-ใบกระท่อม เข้าขบวนการ "วิจัย-ทดลอง" มาตลอด
ไปดูได้.......
ตามวารสารวิชาการและฐานข้อมูลนานาชาติ จะพบงานวิจัย-ทดลอง-วิเคราะห์ ด้านสมุนไพรไทย จากนักวิชาการไทยหลายร้อยเรื่อง
ไม่ใช่ใครก็นำไปลง-ไปรวบรวมไว้
ที่ปรากฏ นั่นหมายความว่า งานวิจัยชิ้นนั้น เป็นที่ยอมรับของนานาชาติแล้ว!
กรณี “คณะเภสัชศาสตร์" ม.รังสิต ทำสเปรย์ Cannabis กัญชา ออกมาครั้งนี้
ถือเป็นผลิตผลงานวิจัย เข้าสู่ขั้นทดลอง เพื่อใช้กับมนุษย์ ด้วยวิสัยทัศน์ ดร.อาทิตย์
มาถึงขั้นนี้ ก็ประเสริฐแล้ว.......
คนไทยควรภูมิใจผลงาน ม.รังสิต ในภาพรวมแห่ง "ศักยภาพประเทศ"
ไม่ควรนำนวัตกรรมจากกัญชานี้ ไปเป็นประเด็นค่อนขอดประเทศ และเร่าร้อนกันดิบๆ ในด้านว่า
ในเมื่อกัญชา มีคุณเป็นยา.......
ก็เลิกควบคุม ให้ปลูก-ให้ใช้ เหมือนผักชี โหระพา กะเพรา เลยซี!
อย่าถึงขนาดนั้นเลย แค่แก้ พ.ร.บ.ยาเสพติด เปลี่ยนกัญชาและพืชอีกบางชนิด จากประเภท ๕ เป็นประเภท ๒
ให้ปลูกแบบ "ควบคุม" เฉพาะที่-เฉพาะแห่ง เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ก็พอก่อนแล้ว
"รศ.ดร.ภญ.นริศา คำแก่น" หัวหน้าทีมวิจัย ให้รายละเอียดว่า....
"ผลิตภัณฑ์นี้ ผลิตจากสารสกัดกัญชา ๒ ชนิด คือ สาร THC โดยงานวิจัยมีฤทธิ์ลดการเจริญเติบโตและลดการลุกลามของเซลล์มะเร็งทางเดินน้ำดี
สาร CBD ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ เพื่อนำมาใช้ลดอาการปวด คลื่นไส้อาเจียน แพ้จากการได้รับยาเคมีบำบัด
สารทั้ง ๒ ชนิดนี้ ขึ้นทะเบียนให้ใช้ในหลายประเทศ ในผู้ป่วยมะเร็งระยะประคับประคอง ควบคู่รักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
สำหรับประเทศไทย..........
ม.รังสิต ถือเป็นที่แรกที่ได้รับอนุญาตให้นำกัญชามาใช้และผลิต
ขณะนี้ ผ่านทดลองในหลอดทดลอง และแปรผลปรับอัตราส่วนมาใช้ในสัตว์ทดลองเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ อยู่ระหว่างการอนุญาต อย.ขอขึ้นทะเบียน
นำมาแปรผลและปรับอัตราส่วนเพื่อใช้วิจัยในมนุษย์
คาดว่าจะใช้ระยะเวลา ๑ ปี เช่นเดียวกับตอนที่ขอปรับสูตรเพื่อมาใช้ในสัตว์ทดลอง
ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งมีข้อจำกัดมาก และสาร THC ออกฤทธิ์ให้มึนเมา จึงต้องมีการควบคุม เพื่อปรับสูตรมาใช้ในมนุษย์"
หัวหน้าทีมวิจัย บอกเหตุผลที่เลือกเป็นสเปรย์ฉีดพ่นในช่องปาก ว่า
"เนื่องจากเมื่อฉีดพ่นสเปรย์เข้าไปสัมผัสเยื่อบุในช่องปาก ตัวยาสามารถดูดซึมได้ทันที
แตกต่างจากยารับประทาน หากทานยาลงไป ตัวยาหรือสารสำคัญจะถูกสารในร่างกายทำลายได้
ดังนั้น ข้อดีที่เด่นชัดของยารูปแบบนี้คือ ตัวยาจะไม่ถูกทำลายที่ตับ และออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า"
"นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์" รองเลขาฯ อย.พูดถึงเรื่องนี้ ว่า...." ม.รังสิต ได้ขออนุญาตศึกษาวิจัยกัญชาเพื่อพัฒนาเป็นยารักษาโรค ตั้งแต่ปี ๖๐ ต่อเนื่องถึงปี ๖๑
ข้อมูลที่นำมาเผยแพร่ ยังเป็นเพียงการพัฒนาเท่านั้น ยังไม่สามารถนำมาขอจดทะเบียนจาก อย.ได้ ต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน.........."
ที่ผมนำบางรายละเอียดมาให้อ่าน เจตนาจะให้เห็น ว่าสเปรย์ Cannabis กัญชา ของ ม.รังสิต
ไม่ได้ทำกันเองในความเป็นมหาวิทยาลัย แล้วโอ่อ้าง........
หากแต่ถูกต้องด้วยงานวิจัย และตามขั้นตอน บนการรับรู้-ติดตามของ อย. "กระทรวงสาธารณสุข"
ขณะนี้ ก้าวหน้าถึงขั้นเตรียม "ลงนามบันทึกความร่วมมือ" ๓ ฝ่าย เรื่อง "วิจัยกัญชาในมนุษย์ตามตำรับยาแพทย์แผนไทย" แล้ว
-ผู้แทนสถาบันการแพทย์แผนไทย
-กรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
-คณะเภสัชศาสตร์ ม.รังสิต และสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย ม.รังสิต
อันที่จริง รัฐบาล คสช.คลอด "แผนแม่บทแห่งชาติ" เป็นฉบับแรก ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ ๑ พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๖๔ ไว้แล้ว
ผลงานคณะเภสัชศาสตร์ ม.รังสิต ด้วยงานวิจัยพืชกัญชานี้ เป็นตัวบ่งชี้ว่า.......
ไทยจะก้าวหน้าด้วยนวัตกรรมได้
"งานวิจัย-ทดลอง" เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องทุ่มและสนับสนุนจริงจัง
อย่างที่ "ดร.อาทิตย์" ทำให้เห็นวันนี้!.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |