ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดไวรัสโควิด-19 คนไทยได้แสดงความมหัศจรรย์รวมใจกันต่อสู้ จนเราสามารถเอาชนะโรคระบาดนี้ได้ ไม่พบคนติดเชื้อภายในประเทศเป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว จนเราสามารถเปิดธุรกิจและสถานที่ต่างๆ ได้เกือบ 100% ทั้งนี้เพราะความร่วมมือของทุกฝ่าย เริ่มต้นตั้งแต่นายกรัฐมนตรีที่ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากบรรดาอาจารย์หมอที่มีความรู้ด้านระบาดวิทยามาให้คำปรึกษากำหนดมาตรการต่างๆ ที่แสดงถึงความเป็นผู้นำใจกว้างที่ยอมรับฟังคำแนะนำจากผู้รู้ ตามมาด้วยการทุ่มเทของบุคลากรด้านการแพทย์ทั้งอาจารย์หมอ บรรดาคุณหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ไปจนถึงบรรดา อสม. ที่เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลุ่มพิเศษของประเทศไทยที่ทำงานหนักด้วยความเสียสละ รวมทั้งข้าราชการฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ทุกคนทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ และที่สำคัญก็คือประชาชนที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการที่ทางการกำหนดกันแบบเกือบเต็มร้อย ทำให้ประเทศไทยเอาชนะโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ได้อย่างโดดเด่น เป็นที่ชื่นชมของชาวโลก อยู่ในอันดับ 2 ของโลกรองจากออสเตรเลียเท่านั้น เวลานี้พวกเรา “เบาใจ แต่อย่าว่างใจ” พวกเราจะ “ไม่ประมาท การ์ดเราจะไม่ตก”
ความสำเร็จของพวกเราในครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก เพราะรัฐบาลต้องเผชิญกับการค้านแบบ แซะ แขวะ ด่า รวมทั้งข่าวปลอม ข่าวปล่อยมากมาย แต่รัฐบาลก็ไม่ได้หวั่นไหว ยังคงเดินหน้ากำหนดมาตรการต่างๆ ที่ฝ่ายค้านแสดงการไม่เห็นด้วยอย่างต่อเนื่อง และประชาชนก็ไม่หลงใหลวาทกรรมของฝ่ายค้านที่เห็นอะไรตรงกันข้ามกับมาตรการของรัฐบาลไปหมดทุกเรื่อง ทั้งนี้เพราะประชาชนรู้ดีว่าสิ่งที่รัฐบาลประกาศออกมาเป็นมาตรการและกติกาต่างๆ นั้น ไม่ใช่ความคิดของผู้บริหารบ้านเมืองที่ฝ่ายค้านจงเกลียดจงชัง และพยายามจะล้มให้ได้ แต่มาจากบรรดาอาจารย์หมอผู้มีความเชี่ยวชาญ และมีความหวังดีต่อคนไทยทั้งประเทศ ทำให้วาทกรรมในการแซะ แขวะ ด่า ของฝ่ายค้าน กลายเป็นกระสุนด้านที่ทำลายรัฐบาลไม่ได้ จนมาบัดนี้ประชาชนส่วนใหญ่เทใจให้กับรัฐบาลจากผลงานการต่อสู้กับโรคระบาดไวรัสโควิด-19
ความสำเร็จของรัฐบาลในครั้งนี้ อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จจาก COVID Model ที่น่าจะนำเอามาใช้ในการปรับ ครม. ที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีกำลังตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหาโรคระบาดไวรัสโควิด-19 นักการเมืองบางคนบางกลุ่มไม่รู้กาลเทศะ ลุกขึ้นมาแสดงอาการแตกแยกกันอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิเสธว่าไม่มีการแตกแยกกัน เป็นเพียงมีความคิดที่ต่างกันเท่านั้น ประชาชนที่กินข้าวหอมมะลิ ไม่ได้กินแกลบกินหญ้าต่างก็มองออกว่าความแตกแยกที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เป็นเรื่องของการแก่งแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี และตำแหน่งอื่นๆ ที่มีความสำคัญทางการเมืองทั้งสิ้น ที่สำคัญการอยากได้ตำแหน่งของพวกเขานั้น ประชาชนไม่ได้มองว่าพวกเขาต้องการเข้ามาใช้ความรู้ความสามารถในการบริหารพัฒนาบ้านเมือง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน แต่พวกเขาน่าจะเข้ามาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องมากกว่า (ซึ่งเรื่องนี้ประชาชนอาจจะคิดผิดก็ได้ เพียงแต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตนั้น มันทำให้ประชาชนอดคิดเช่นนั้นไม่ได้) ดังนั้นประชาชนจึงแสดงอาการรังเกียจและเบื่อหน่ายการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะพวกเขากำลังกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น จะทำให้ได้ ครม.ที่พวกเขาไม่ต้องการก็ได้ พวกที่ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง ก็คือพวกที่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีว่าท่านคงเลือกที่จะฟังเสียงประชาชนมากกว่าจะฟังเสียงของนักการเมืองที่เรียกร้องตำแหน่งต่างๆ
นายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ปรารถนาความปรองดองตั้งแต่ครั้งที่ท่านเข้ามาทำการรัฐประหาร และความตั้งใจดังกล่าวนี้ก็ยังดำรงอยู่ตลอด 6 ปีที่ท่านนำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจากการการทำรัฐประหารหรือมาจากการเลือกตั้ง ท่านคงมองเห็นความแตกแยกที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับประเทศชาติ เพราะว่ามันไม่ใช่ความแตกแยกระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านเท่านั้น แต่มันเป็นความแตกแยกภายในพรรคต่างๆ ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย ท่าน จึงผุดความคิดเรื่อง รวมไทยสร้างชาติ ขึ้นมา เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาสามัคคีปรองดองกันเพื่อให้เราสามารถนำพาประเทศชาติให้ฝ่าฟันปัญหาต่างๆ ไปให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กำลังจะต้องเดินหน้าต่อไปหลังจากที่วิกฤติเรื่องโรคระบาดจบลง ประชาชนก็หวังว่าท่านจะได้ใช้ COVID Model มาใช้กับ Cabinet Model นั่นก็คือ ปรับคณะรัฐมนตรีด้วยการเลือกคนเก่ง คนดี มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ให้ตรงกับความสามารถเหมือนที่ท่านเลือกที่จะใช้บริการของหมอทั้งหลายในการต่อสู้กับโรคระบาด ถ้าหากท่านใช้บริการจากคนเก่งทางด้านเศรษฐกิจมาเป็นรัฐมนตรีกำกับกระทรวงด้านเศรษฐกิจ โดยไม่ต้องเกรงใจนักการเมืองก็คงจะถูกใจประชาชน
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องปรับ ครม. นายกรัฐมนตรีคงจะต้องเลือกว่าจะตามใจบรรดานักการเมืองที่เป็นคะแนนเสียงในสภาของท่าน หรือจะตามใจประชาชนที่เป็นคะแนนเสียงนอกสภาของท่าน ทั้งนี้หวังว่าท่านคงจะทราบว่าที่พรรคพลังประชารัฐชนะเลือกตั้งนั้น เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวท่าน ศรัทธาในตัวท่าน และต้องการให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หากท่านยังต้องตกอยู่ในวังวนของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบเดิมๆ ที่จะต้องตั้งรัฐมนตรีด้วยระบบโควตาอย่างที่เป็นมาในอดีต ท่านก็จะไม่ได้ใจประชาชนที่อาจจะเสื่อมศรัทธาในตัวท่านได้ บัดนี้ประชาชนเป็นห่วงท่าน เพราะมองความเคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว ก็จะเห็นว่าคนคนหนึ่งเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค และอาจจะต้องเอาใจกลุ่มก๊กต่างๆ ภายในพรรค แล้วก็จะทำให้หนีวัฒนธรรมของการตั้งรัฐมนตรีตามโควตาไม่ได้ การจะได้คนเก่ง คนดีมาเป็นรัฐมนตรีจะกลายเป็นเรื่องยากสำหรับท่าน ด้วยเหตุผลอันใดก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ ประชาชนกำลังรอดูใจท่านว่าสุดท้ายแล้ว ถ้าหากจำเป็นจะต้องเลือกระหว่างนักการเมืองที่เรียกร้องเอาตำแหน่ง กับประชาชนที่เรียกร้องให้ท่านทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน ท่านจะเลือกทางใด จะบอกว่าไม่อยากจะเลือกคงไม่ได้ เพราะความเคลื่อนไหวทางการเมืองในเวลานี้ มันบังคับให้ท่านต้องเลือก
หากท่านปรารถนาที่จะให้ประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของ “รวมไทยสร้างชาติ” หวังว่าท่านคงทราบว่าท่านควรจะเลือกอย่างไรนะคะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |