27 มิ.ย.2563 นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ไปจัดเตรียมแนวทางในการบริหารจัดการรายได้รัฐบาลในอนาคต หลังจากที่ปีนี้ได้รับผลกระทบหนักจากโควิด-19 จนทำให้การจัดเก็บรายได้รัฐบาลจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ยังอยู่ในระดับที่กระทรวงการคลังยังสามารถบริหารจัดการได้

"รายได้เป็นข้อเท็จจริงว่าผลกระทบของโควิด กระทบกับการจัดเก็บอยู่แล้ว และส่วนหนึ่งเราต้องช่วยผู้ประกอบการไปก่อนในเรื่องมาตรการภาษี แต่ในอนาคตเราจะมีมาตรการบริหารจัดการเรื่องรายได้เช่นเดียวกัน ที่จะทำให้สามารถจัดเก็บได้ดีที่สุดในภาวะการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้ผมได้มอบโจทย์ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปแล้ว" นายอุตตม กล่าว

นายอุตตม กล่าวว่า การจัดเก็บรายได้ปี 2563 ที่อาจจะไม่เป็นไปตามเป้า จะส่งผลต่อการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ส่วนประเด็นที่ว่าถ้ามีการขาดดุลเพิ่มขึ้นจริง ต้องบริหารจัดการเรื่องการกู้เพิ่มไหม ก็เป็นไปได้ที่ต้องกู้เพิ่ม แต่ยังไม่ได้ดูตัวเลข

อย่างไรก็ตาม หากจะต้องมีการกู้ก็เป็นไปตามขั้นตอน มีคณะกรรมการที่ดูแล คือ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) พิจารณา และต้องเสนอ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามขั้นตอน หลังจากนี้คงต้องไปดูว่าตกลงแล้วตัวเลขจะเป็นอย่างไรก่อน วันนี้ยังไม่ได้สรุปว่าจะเป็นอย่างไร กำลังดูเรื่องกันอยู่ ให้เวลาดูกันก่อน

ส่วนเงินกู้จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาทเป็นเรื่องของสภาพัฒน์ที่เป็นหน่วยหลักในการกลั่นกรอง ซึ่งแนวทางมีอยู่แล้ว ต้องดูว่าเป็นโครงการที่เข้ากรอบ ที่ พ.ร.ก.กำหนดไว้ และจะดูเนื้อโครงการ ความเหมาะสมเป็นอย่างไร งบประมาณมีอยู่เท่านี้ ต้องดูให้ใช้ให้เกิดผลที่ดีที่สุด ให้ตรงที่สุด

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีส่วนราชการเสนอขอใช้เงินเกินกว่า กรอบ 4 แสนล้านบาท คลังยังไม่มีความจำเป็นต้องออก พ.ร.ก.กู้เพิ่ม ใช้กรอบที่มีอยู่ก่อน ภายใต้กรอบ 4 แสนล้านบาท เอาให้ตรงจุดมากที่สุด ใช้เงินให้มีประสิทธิภาพที่สุด สอดรับกับเป้าหมายที่ต้องการที่ต้องการดูแลเศรษฐกิจในประเทศช่วง 1 ปี -1 ปีครึ่ง ที่ภาคส่งออกยังไม่ฟื้น

"สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ต้องดูแลเศรษฐกิจภายในหมุนเวียนไปได้ มีการจ้างงาน มีการจับจ่ายใช้สอย อันนี้คือเป้าหมายหลัก ดังนั้นงบประมาณภายใต้ 4 แสนล้านบาทจะไปในทิศทางนั้น ถ้าจะดูแลเศรษฐกิจในประเทศ ต้องดูแลในระดับพื้นที่เป็นหลัก" นายอุตตม กล่าว