ความเคลื่อนไหวที่จะให้ “Defund the Police” (ตัดงบ) ตำรวจทั่วทุกรัฐของอเมริกาที่เราเห็นอยู่ขณะนี้มีสาเหตุล่าสุดจากโศกนาฏกรรม George Floyd
แต่ไม่ใช่เพียงเพราะเหตุการณ์นี้เท่านั้น มันมีสาเหตุมาจากกรณีละม้ายกันอย่างนี้มากมายจนกลายเป็น “ความชั่วร้ายประจำชาติ”
“ปฏิรูปตำรวจ” เป็นหัวข้อของรัฐบาลทั้งระดับชาติและรัฐมายาวนาน แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์ตำรวจใช้วิธีการโหดร้ายกับผู้คน โดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยและคนสีผิวอย่างไม่หยุดยั้ง
กรณี George Floyd ตอกย้ำว่าแม้ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคมได้
เป็นที่มาของการชุมนุมและเดินขบวนอย่างกว้างขวางและร้อนแรงทั่วประเทศสหรัฐฯ และหลายประเทศทั่วโลกเพื่อเรียกร้องและกดดันให้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม
เป็นที่มาของการรณรงค์อย่างขึงขังให้ Defund the Police
ข้อเรียกร้องครั้งนี้มิใช่แค่เพียงการปรับลดงบประมาณของแต่ละรัฐสำหรับตำรวจเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงการยกเครื่องระบบ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ อีกด้วย
ผู้สนับสนุนเรื่องนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ลดจำนวนและงบประมาณตำรวจ หรือยุบหน่วยตำรวจเท่านั้น
แต่ยังหมายถึงการแก้ปัญหาที่ต้นตอ
นั่นคือระบบของการรักษากฎหมายทุกมิติ...และโยกงบประมาณไปสู่โครงการช่วยเหลือชุมชนมากกว่าการจ้างตำรวจที่มีเครื่องแบบและติดอาวุธที่มีอำนาจหน้าที่เหนือประชาชนทั่วไป
งบประมาณในภาพรวมสำหรับตำรวจทั้งในระดับชาติและระดับรัฐของอเมริกาเมื่อปี 2017 สูงถึง $115,000 ล้าน หรือกว่า 3.2 ล้านล้านบาท
เริ่มมีการเสนอการแก้ไขเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
เช่น นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก Bill de Blasio ประกาศว่าจะโยกงบประมาณจาก NYPD หรือหน่วยตำรวจของรัฐไปสู่โครงการเยาวชนและบริการสังคม
การปรับลำดับความสำคัญเช่นนี้จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ต้นตอและให้ชุมชนเองดูแลการรักษากฎหมายโดยไม่ต้องมี “ตำรวจในเครื่องแบบ” ที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความอยุติธรรมมาเป็นผู้ “จับและลงโทษ” สมาชิกของสังคม
นายกเทศมนตรีลอสแองเจลิส Eric Garcetti บอกว่าจะตัดงบตำรวจ $150 ล้าน จากงบเดิมที่เตรียมไว้สำหรับขึ้นเงินเดือนตำรวจมาใช้ในกิจกรรมสำหรับชุมชน
สมาชิกสภาเมืองของมิเนอาโปลิส ซึ่งเป็นจุดที่เกิดเหตุล่าสุดมีมติ 9-12 ให้ยุบหน่วยตำรวจท้องถิ่น และจะ “ทบทวนครั้งใหญ่” ว่าด้วยมาตรการที่เกี่ยวกับความปลอดภัยสาธารณะและวิธีการเผชิญเหตุฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพกว่าที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาต่อต้านความเคลื่อนไหวครั้งนี้ อ้างว่าตำรวจ 99% “เป็นคนดี”
ทรัมป์กำลังหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน จึงคงจะพยายามรักษาฐานเสียงในหมู่ตำรวจ
อีกทั้งยังเรียกตัวเองว่าเป็น Law and Order President หรือ “ประธานาธิบดีแห่งความสงบเรียบร้อย”
ทั้งๆ ที่เขาคือคนที่ปั่นกระแสของความเคียดแค้นชิงชังในหมู่ประชาชนเองอย่างไร้ความรับผิดชอบ
แนวทาง Defund the Police ของอเมริกาจะเกิดขึ้นได้จริงแค่ไหน และจะนำไปสู่การปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจังเพียงใดเป็นเรื่องที่ต้องจับตากันต่อไป
คนจำนวนไม่น้อยที่นั่นเชื่อว่าหากครั้งนี้ไม่สามารถผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของตำรวจได้สำเร็จก็คงจะกลายเป็นบาดแผลลึกของสังคมอเมริกันที่ยากจะหลุดออกจากวงจรเดิมได้
หากวิกฤติครั้งนี้ไม่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบของ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ของสหรัฐฯ อย่างเป็นรูปธรรมแล้วไซร้...โศกนาฏกรรมแบบ George Floyd หรือที่เลวร้ายกว่านี้ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และนั่นหมายถึง “สงครามกลางเมือง” ของจริงจะระเบิดขึ้นอย่างปราศจากความสงสัย
เพราะสังคมอเมริกันยิ่งนับวันก็ยิ่งจะแบ่งขั้วกันหนักขึ้น...ระหว่างกลุ่มคนที่เอนเอียงไปด้านอนุรักษนิยมกับกลุ่มหัวก้าวหน้าที่ต้องการจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง
ความปริแยกที่มีอยู่เดิมถูกทรัมป์ซ้ำเติมด้วยการเลือกข้างทางการเมืองเพียงเพื่อจะเอาใจฐานเสียงของตน โดยไม่สนใจว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
วันนี้หลายวงการเริ่มมองว่าอเมริกากำลังถูกมองว่าเป็น Banana Republic (สาธารณรัฐกล้วยหอม) หรือ “ประเทศโลกที่สาม” หนักขึ้นทุกที.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |