"ประยุทธ์" แจงแนวคิด "รวมไทยสร้างชาติ" รวมคนทุกกลุ่ม วอนอย่าเอาการเมืองสร้างขัดแย้ง ละเมิดสถาบัน-กฎหมาย ระบุกลุ่มใดทำผิดกฎหมายต้องให้คดีจบก่อน ไม่เช่นนั้นคนก็ไม่เกรงกลัวการทำผิด "ผบ.ตร." สั่งระดมตำรวจหาข่าวพร้อมตั้งจุดตรวจอาวุธรับการชุมนุม 24 มิ.ย. หลังพบคลังแสงที่แม่สอดเชื่อเตรียมสร้างสถานการณ์ "ครช." นัดหน้ารัฐสภาทวงคืนมรดกคณะราษฎร "ดร.นิว" ชำแหละ 88 ปีคณะราษฎร เปลือกดูเหมือนจะเป็น ปชต.แต่ไส้ในเป็นเผด็จการ
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 23 มิถุนายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงแนวคิดรวมไทยสร้างชาติในยุค New Normal ว่า ต้องเอาเข้าไปขับเคลื่อนในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ว่ารัฐบาลควรจะทำอย่างไรต่อไป โดยได้ให้หลักการในเรื่องนี้เพื่อปรับแผนปฏิบัติราชการทั้งหมด ซึ่งจะใส่แนวคิดรวมไทยสร้างชาติ หรือ New Normal เข้าไปในยุทธศาสตร์ชาติที่มีอยู่ 6 ด้านแล้ว นั่นคือพื้นฐานของประเทศ ขอทุกคนเข้าใจและมีส่วนร่วมในการปรับปรุงแผนดังกล่าว พร้อมทั้งจะมีระบบให้ประชาชนปรับปรุงติดตามความก้าวหน้าด้วย
"วันนี้ขอร้องอย่าสร้างความขัดแย้งในเรื่องที่ไม่ควร อย่าให้มีการละเมิดสถาบัน และละเมิดกฎหมาย เพราะกฎหมายทำให้สังคมสงบสุข ถ้าไม่ไปยุ่งกับเขามันก็ไม่มีใครถูกลงโทษ รัฐบาลไม่ต้องการลงโทษใคร โดยเฉพาะผมเองถ้าไม่ผิดกฎหมายผมจะไปหาเรื่องทำไม ก็ประชาชนคนไทยด้วยกัน แต่ถ้าเขาหาเรื่องกับกฎหมายก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกัน" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า บางอย่างก็เหมือนนิยาย เขียนกันจนเป็นนิยาย แต่บางคนก็เป็นนิสัยของเขา เป็นพิธีกรบางทีก็พูดเลยเถิดไปเรื่อย มันก็เลยไม่จบเสียที หลายเรื่องควรจะจบก็ไม่จบ เรื่องอะไรก็ตามที่เคยเกิดขึ้นก่อนตนเข้ามา มันก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก ถ้าไม่เกิดขึ้นบ้านเมืองก็จะไปของมันเรื่อยๆ กลไกหลักของเรามีอยู่แล้วคือประชาชน ไม่ใช่พรรค แต่เป็นความร่วมมือแบบประชารัฐ ภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และประชาสังคมกลุ่มต่างๆ เคลื่อนไหวไปด้วยกันในเชิงสร้างสรรค์
ส่วนกรณีที่มีแนวคิดรวมไทยสร้างชาติ จะมีมิติในการที่จะรวมคนไทยทุกกลุ่มเข้าด้วยกันใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่ารวมทุกกลุ่ม แต่ไม่ใช่หมายความว่ากลุ่มใดที่มีการกระทำผิดกฎหมายแล้วจะดึงเข้ามา ต้องไปว่ากันตามคดีความให้จบสิ้นก่อน วันข้างหน้าหากมีการรับโทษกันแล้วก็จบ เพราะทุกคนก็เป็นคนไทยด้วยกัน แต่ถ้าไม่รับโทษแล้วจะทำอย่างไร ไม่เช่นนั้นคนก็ไม่เกรงกลัวการทำผิด อ้างเหตุผลอื่นมันไม่เหมาะ ยืนยันว่าไม่ได้รังเกียจใคร และไม่ได้เป็นศัตรูกับใครสักคน แต่อย่าจุดประเด็นเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งมันไม่ใช่ประเด็นแต่เป็นข้อเท็จจริง
ต้องยอมรับกฎหมายก่อน
"ถ้าทำการเมืองโดยที่ต้องเอาทุกคนเข้ามา ผิดถูกไม่เป็นไร กฎหมายก็จะเสียหมดทั้งประเทศ แล้วพวกคุณชอบกันหรือ ต้องการให้ประเทศไม่ต้องมีกฎหมายหรือ มีกฎหมายอะไรก็ยกเลิกไปให้หมดเพราะว่าประชาธิปไตยอย่างนี้หรือ ความเป็นประชาธิปไตยต้องมีกฎหมาย กฎหมายคือประชาธิปไตยที่ให้ความเท่าเทียมกับทุกคน การจะไปเลือกลงโทษคนนี้แล้วไม่ลงโทษคนนั้นมันทำไม่ได้ เพราะถือเป็นกฎหมายกลาง" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ตนก็นับถือกฎหมายเหมือนท่านทุกคน ตนต้องระมัดระวังการใช้กฎหมายและยังมีกฎหมายฉบับอื่นๆ อีก โดยเฉพาะกฎหมายบริหารราชการแผ่นดินที่ต้องระมัดระวังตัวเอง กฎหมายส่วนราชการก็ต้องรักษาไว้ทุกฉบับ ไม่ใช่มองการเมืองอย่างเดียว พวกท่านก็ต้องทำความดีของท่านกันต่อไปวันข้างหน้า ประชาชนเองก็มี 2-3 ฝ่ายเสมอ เพียงแต่ทำอย่างไรให้ประชาชนยอมรับได้ ทั้งหมดต้องยอมรับกฎหมายก่อน เพราะกฎหมายคือข้อยุติ ขอให้ไปดูและศึกษากฎหมายต่างๆ เขียนว่าอย่างไร ใครจะผิดจะถูก ใครจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ อยู่ที่การตัดสินของศาล อยู่ในกระบวนการ เขาว่าอย่างไรก็ต้องดูหลักการของข้อกฎหมาย มีอยู่ทุกฉบับ ฝากไว้ด้วย ขอให้ช่วยศึกษาจะได้ช่วยกัน
วันเดียวกัน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยถึงกรณีที่จะมีการจัดกิจกรรมเนื่องในวันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร.(มค), พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ลงไปกำกับดูแลความสงบเรียบร้อย และเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยได้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบออกปฏิบัติหน้าที่สืบสวนหาข่าว ตั้งจุดตรวจจุดสกัดตรวจค้นอาวุธหรือสิ่งของผิดกฎหมาย เพื่อดูแลความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในบริเวณพื้นที่จัดกิจกรรมดังกล่าว
รองโฆษก ตร.กล่าวว่า อีกทั้งได้รับรายงานว่าตำรวจตระเวนชายแดนที่ 346 ร่วมกับทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 ยึดอาวุธปืนสงคราม เอ็ม 16, เอ็ม 79, อาร์ก้า, ปืนกล ขนาด.62 และปืนเล็กยาว รวม 33 กระบอก และวัตถุระเบิดอีกจำนวนหนึ่ง ได้ที่บ้านหลังหนึ่งใน อ.แม่สอด จ.ตาก พร้อมควบคุมตัวชายไทย 2 คนไว้สอบสวนขยายผล เบื้องต้นเชื่อว่าเตรียมการไว้ใช้ในการเคลื่อนไหวสร้างสถานการณ์ทางการเมือง เนื่องจากสอดคล้องกับข้อมูลทางการข่าวของฝ่ายความมั่นคง ที่รายงานการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่เตรียมฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายทางการเมือง แต่ไม่ยืนยันว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายใด โดยอยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในพื้นที่
"ผบ.ตร.ได้กำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่โดยเฉพาะ 10 จังหวัดเสี่ยง อาทิ ขอนแก่น แพร่ นครราชสีมา อยุธยา เชียงใหม่ เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 24 มิถุนายน เนื่องจากอาจจะมีการนัดชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ในวันดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และมีความเป็นห่วงเยาวชนนักศึกษาอาจถูกชักจูงด้วยข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย จึงควรหลีกเลี่ยงการรวมตัวหรือชุมนุมทำกิจกรรมใดๆ เพื่อเป็นการลดโอกาสในการเเพร่เชื้อโรค อีกทั้งอาจจะเข้าข่ายความผิดตามประกาศของหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเรื่อง การห้ามชุมนุมการทำกิจกรรม การมั่วสุม ลงวันที่ 3 เม.ย.63 ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่กิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" รองโฆษก ตร.ระบุ
ทวงคืนมรดกคณะราษฎร
วันเดียวกัน เฟซบุ๊ก "คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน l ครช." โพสต์ข้อความว่า "ทำไมต้องไปหน้ารัฐสภาในวันที่ 24 มิถุนายน 2563 วันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะเป็นวันที่ประเทศไทยหรือ 'สยาม' ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตยที่สถาปนาให้ประชาชนทุกคนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ แต่ทว่าแม้กาลเวลาจะล่วงเลยมาถึง 88 ปี อำนาจของประชาชนก็ยังถูกลดทอนและแทรกแซง โดยกลุ่มชนชั้นนำของประเทศที่มีเพียงหยิบมือ และทำให้ประชาชนยังขาดซึ่งหลักประกันต่อความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต ผู้มีอำนาจยังกดขี่ข่มเหงประชาชนละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง ประชาชนยังขาดความเสมอภาคในสิทธิและโอกาสอันนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจและต้องใช้ชีวิตตามยถากรรม
ยิ่งภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน หรือรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่ถูกจัดทำภายใต้คณะรัฐประหารนำโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความถดถอยทางอำนาจของประชาชน ในวาระ 24 มิถุนา หรือวาระ 88 ปี จึงถือเป็นโอกาสสำคัญของประชาชนที่จะรวมกันเรียกร้องให้มีการ 'ปักหมุดประชาธิปไตย สร้างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน' กลับไปสู่รากฐานเดิม ขอโอกาสเชิญชวนอีกครั้ง ในวันที่ 24 มิถุนายน 2563 เวลา 10.30 น. มาร่วมกันทวงคืนมรดกคณะราษฎร ทวงสัญญารัฐธรรมนูญประชาชน ที่บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา (เกียกกาย)"
สำหรับ ครช. ก่อตั้งเมื่อ 19 ก.ย.62 เป็นการรวมตัวกันของภาคประชาชน นักวิชาการ และนักศึกษา 28 เครือข่าย อาทิ ศูนย์วิจัยและพัฒนากฎหมาย คณะนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่, สถาบันมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล, เครือข่ายนักวิชาการราชภัฏราชมงคลเพื่อพลเมือง (ครพ.), สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.), ดาวดิน, สมัชชาคนจน, โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw), กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย, เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนภาคใต้, เครือข่ายรัฐธรรมนูญก้าวหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บนโลกออนไลน์มีการเผยแพร่ประกาศกิจกรรมเชิญชวนให้ประชาชนออกมาทำกิจกรรมจำลองการอ่านประกาศคณะราษฎร ในช่วงเย็นวันที่ 24 มิ.ย.63 พร้อมกันในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475
โดยทุกกิจกรรมนั้นพบว่าจัดขึ้นในนามกลุ่มที่ระบุว่าเป็นกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ อาทิ "สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (Student Union of Thailand-SUT)" เวลา 18.00 น. บริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน กรุงเทพฯ, กลุ่ม "เยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย" เวลา 18.00 น. บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดระยอง, "แนวร่วมนิสิต มมส.เพื่อประชาธิปไตย (MSU Democracy Front)" เวลา 18.00 น. บริเวณลานแปดเหลี่ยม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, กลุ่ม "เยาวชนสุรินทร์เพื่อประชาธิปไตย" เวลา 17.00 น. บริเวณอนุสาวรีย์อนุสรณ์รัฐธรรมนูญ หน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ เป็นต้น
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์ข้อความว่า "88 ปีผ่านไป แทนที่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศจะเป็นของราษฎรทั้งหลายอย่างแท้จริง กลับกลายเป็นว่า อำนาจสูงสุด เป็นของพวกเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจได้ทั้งหลาย ปัจจุบันอำนาจสูงสุดอยู่ในเงื้อมมือของ ส.ว.ลากตั้ง 250 คนโดย คสช. รวมไปถึงอำนาจในการชี้ชะตาประเทศในด้านต่างๆ อยู่ในเงื้อมมือขององค์กรอิสระชุดต่างๆที่ คสช.ตั้งเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะลงโทษปลดหรือถอดถอนออกจากผู้แทนและห้ามลงการเมืองห้าปีสิบปีได้ การเลือกตั้งตัวแทนหรือผู้แทนราษฎรจึงเป็นเพียงการเล่นจำอวด 88 ปีที่ผ่านไป การเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร ถูกฝ่ายเผด็จการทหารทำลายล้างลงไปอย่างสิ้นเชิง และสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยปลอมขึ้นมาแทนที่ เพียงเพื่อหลอกลวงประชาชนไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลกว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว"
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า "สิ่งที่กลุ่มชอบอ้าง 2475 ควรต้องเรียนรู้ นั่นคือบทสัมภาษณ์ของ ท่านปรีดี พนมยงค์ ให้สัมภาษณ์นิตยสารเอเชียวีก ก่อนเสียชีวิตไม่นาน ใจความว่า 'แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้ว และได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี ข้าพเจ้าไม่มีความจัดเจน และโดยปราศจากความจัดเจน บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา ข้าพเจ้าไม่ได้นำความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี ในปี ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน... และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น (พ.ศ.2489-2490) ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ”.
คณะราษฎรไส้ในคือเผด็จการ
"กลุ่มชอบอ้าง 2475 ต้องเรียนรู้ความผิดพลาดจากท่านปรีดี โดยเฉพาะการคำนึงถึงความจริง การเข้าถึงประชาชน และการอ้างแต่ตำรา โดยต้องรู้ว่าประชาชนชาวไทยมีความผูกพันกับสถาบันเบื้องสูง เป็นศูนย์รวมจิตใจและจิตวิญญาณ มีความร่มเย็นสงบสุข หวงแหนวัฒนธรรม ประเพณี วิถีไทยที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ ที่สำคัญคือ ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่การปกครองแบบตะวันตก" นพ.วรงค์ระบุ
ขณะที่ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความว่า "ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า... สุดท้ายคนร่างคำประกาศคณะราษฎรก็ได้กลายมาเป็นอภิมหาราษฎรเหนือราษฎรตาดำๆ ทั้งปวง พรุ่งนี้ 24 มิ.ย.63 ครบรอบ 88 ปี ลัทธิรัฐธรรมนูญ (24 มิถุนายน 2475) รากเหง้าแห่งประชาธิปไตยจอมปลอมและระบอบเผด็จการที่เป็นต้นตอของความขัดแย้ง แตกแยก และความล้าหลังทั้งหมดในประเทศไทย เพราะถ้าแนวทางของคณะราษฎรเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ประเทศไทยของเราคงไม่ประสบกับสารพัดปัญหาและความแตกแยกเฉกเช่นทุกวันนี้ อันจะเห็นได้จาก 'หลัก 6 ประการ' ในประกาศคณะราษฎรที่เป็นของหลอกเด็ก เพราะไม่ได้มีหัวใจของประชาธิปไตยที่แท้จริงนั่นคือ 'การทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน'
หลักการของคณะราษฎรสุดท้ายก็แค่สัญญาแบบลมตดแห่งประชาธิปไตยจอมปลอมว่าจะให้ 'เอกราช ปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ การศึกษา' แต่กลับไม่ได้ให้ 'ประชาธิปไตย' แก่ประชาชน สุดท้ายอำนาจอธิปไตยก็ได้กลายเป็นของคณะราษฎรที่แอบอ้างประชาธิปไตยและประชาชนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์กันภายในหมู่คณะราษฎรด้วยกันเอง อันจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับพระราชประสงค์อันแรงกล้าของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ที่จะทรงสร้างประชาธิปไตยตัวจริงให้กับประชาชนชาวไทย คือ 'การทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน' เมื่อ 88 ปีที่ผ่านมาได้ยืนยันถึงความล้มเหลวแห่งแนวทางประชาธิปไตยจอมปลอมของคณะราษฎร ที่เปลือกดูเหมือนจะเป็นประชาธิปไตยแต่ไส้ในกลับเป็นเผด็จการ
ถึงคราวที่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนจะหันมาช่วยกันทำประชาธิปไตยแบบประชาธิปกให้เกิดขึ้นจริง ถ้าธนาธรจะสานต่อ 'ภารกิจ 2475 ของคณะราษฎร' ที่เป็นประชาธิปไตยจอมปลอมและเหลวแหลกมากว่า 88 ปี อันจะนำมาซึ่งความขัดแย้งที่รุนแรงและความแตกแยกภายในประเทศที่ร้าวลึกยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ด้วยการปั่นกระแสโซเชียลปลุกม็อบรายวันเพื่อให้เกิดความรุนแรงก็เป็นเรื่องของธนาธร ส่วนศุภณัฐขอเป็นอีกหนึ่งคนที่จะสานต่อ 'ภารกิจแห่งประชาธิปก' เพื่อสร้างประชาธิปไตยตัวจริงให้เกิดขึ้นและเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ด้วยวิธีการที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายซึ่งเป็นไปเพื่อความรู้รักสามัคคีและความสงบสุขสันติ" ดร.ศุภณัฐระบุ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |