หุ้นกลุ่มแบงก์ทรุด! ฉุดดัชนีหุ้นไทยร่วง 18.64 จุด หลัง ธปท.สั่งงดจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปี 2563 และงดการซื้อหุ้นคืนหวังรักษาระดับเงินกองทุนให้เข้มแข็ง โบรกฯ ชี้มีผลลบจำกัด “ธปท.” แจงหารือสมาคมธนาคารไทยแล้วก่อนร่อนหนังสือเวียนฯ เน้นเพิ่มระดับเงินกองทุนรับมือผลกระทบ ศก.หลังโควิด-19 ช่วยสถาบันการเงินมีการ์ดสูง-กันชนแกร่งสู้วิกฤติ
เมื่อวันจันทร์ มีรายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันที่ 22 มิ.ย.2563 เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยมีแรงขายนำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สั่งธนาคารพาณิชย์งดจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปี 2563 และงดการซื้อหุ้นคืน เพื่อรักษาระดับเงินกองทุนให้เข้มแข็งจากผลกระทบไวรัสโควิด-19 สะท้อนถึงปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) มีโอกาสเร่งตัวขึ้นมาก ส่งผลให้ดัชนีปิดที่ 1,352.18 จุด ลดลง 18.64 จุด หรือ 1.36% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 65,772.37 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 1,367.98 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ 1,347.60 จุด
นายธนภัทร ฉัตรเสถียร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวทางของ ธปท.เป็นการดำเนินการตาม IMF ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งจะทำให้ธนาคารมีความสามารถในการปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจ และรองรับการตั้งสำรองสำหรับเอ็นพีแอลได้มากขึ้น โดยการนำแนวทางนี้มาใช้กับธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว รวมถึงช่วยรักษาความแข็งแกร่งให้แก่เงินกองทุน มากกว่าจะเป็นความกังวลต่อความเสี่ยงที่เงินกองทุนจะลดลงอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม มองผลกระทบด้านลบต่อราคาหุ้นจะจำกัดอยู่ในส่วนของปันผล โดยหากจำกัดเฉพาะในส่วนของเงินปันผลระหว่างกาล มองว่า Downside จะอยู่ที่ประมาณ 1-2% สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะจ่ายปันผลระหว่างกาล เช่น BBL, KBANK และ SCB หรือหากมองว่าธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดจะไม่จ่ายปันผลสำหรับปี 2563 เลย คาดผลกระทบต่อราคาหุ้นที่รุนแรงที่สุดจะไม่เกิน 11%
สำหรับความกังวลเอ็นพีแอลที่จะเกิดขึ้นจะกระทบต่อสัดส่วนเงินกองทุนของธนาคารนั้น นายธนภัทรมองว่าปัจจุบันธนาคารมีความเสี่ยงจากคุณภาพหนี้อยู่แล้วตามสภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก และอาจกระทบต่อกำไรของธนาคาร ซึ่งจากประมาณการเดิมคาดกำไรปี 2563 จะอ่อนตัวลงประมาณ 10-20% ทั้งนี้ คาดว่าความเสี่ยงดังกล่าวต่อฐานเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ยังต่ำ เนื่องจากในปัจจุบันสัดส่วนเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ยังแข็งแกร่ง โดยหากพิจารณาที่สัดส่วน Tier 1 ของธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยอยู่ที่ 16% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ 9.5% ค่อนข้างมาก
ด้านนายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าฯ ธปท.ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า ธปท.ให้ธนาคารพาณิชย์ดูแลเรื่องการบริหารจัดการเงินกองทุน ซึ่ง ธปท.ได้หารือกับสมาคมธนาคารไทยมาต่อเนื่อง และรับทราบดีว่าสถานการณ์โควิด-19 เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างรุนแรง กระทบกับเศรษฐกิจในวงกว้าง และที่สำคัญคือไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ มีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ช่วงที่ผ่านมา มีมาตรการที่ทาง ธปท.ได้ออกอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ มาตรการกันสำรอง โดยมาตรการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ ธปท.อยากเห็นทิศทางเรื่องการบริหารจัดการเงินกองทุน
"ดังนั้นตรงนี้จึงเป็นความร่วมมือและแนวคิดของทุกฝ่าย ที่อยากจะเห็นนโยบายกลางในการดูแลบริหารจัดการเรื่องเงินกองทุนให้เข้มแข็ง มีการ์ดที่สูงไว้ ดังนั้นการมีการประเมินระดับเงินกองทุนเพื่อบริหารจัดการเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก"
นายรณดลกล่าวว่า อย่างที่ทราบกันว่าระดับเงินกองทุนเป็นหัวใจสำคัญในเรื่องการสนับสนุนภาวะเศรษฐกิจในช่วงหลังและก่อนโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ดังนั้นการมีระดับเงินกองทุนที่สูงย่อมจะเป็นผลดี ไม่ใช่เฉพาะกับสถาบันการเงิน แต่กับระบบเศรษฐกิจในการเป็นกลไกสำคัญ เพราะสถาบันการเงินเป็นกลไกสำคัญในขณะนี้ที่ช่วยเรื่องการเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจ ยิ่งมีระดับเงินกองทุนที่สูงและเข้มแข็ง จะเป็นการ์ดสำคัญที่สูง เป็นกันชนที่สำคัญที่จะทำให้เกิดการเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงินและผู้ลงทุนในระยะยาว เป็นเรื่องที่ดีที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับสถาบันการเงินในช่วงต่อไป
รองผู้ว่าฯ ธปท.กล่าวอีกว่า สำหรับหนังสือเวียนที่ออกไป และได้มีการพิจารณาขอให้สถาบันการเงินงดการซื้อหุ้นคืน และงดการจ่ายปันผลเฉพาะกาล ขอชี้แจงว่าการปันผลเฉพาะกาลคือผลประกอบการในช่วงนี้ที่เกิดขึ้นก่อนต้นปี ไม่ใช่ผลประกอบการทั้งปี เป็นสิ่งที่ ธปท.ขอให้สถาบันการเงินดูแลเรื่องการประเมินระดับเงินกองทุนว่าจะมีแผนและการจัดการระดับเงินกองทุนอย่างไรในช่วง 2-3 ปีหน้า เรื่องการดูแลตรงนี้ จำเป็นต้องมีนโยบายกลางเกิดขึ้นเพื่อให้สถาบันการเงินทุกแห่งปฏิบัติเหมือนกัน และการที่ ธปท.จะไประบุว่าสถาบันการเงินใดสถาบันการเงินหนึ่งทำนโยบายนี้จะมีคำถามได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและชัดเจน นโยบายนี้จึงถูกทำให้ทุกฝ่ายรับทราบโดยทั่วกัน ธนาคารกลางผู้กำกับของประเทศอื่นๆ ก็ได้มีนโยบายนี้เช่นเดียวกัน ทั้งจากยุโรป ออสเตรเลีย และแคนาดา ก็มีนโยบายงดซื้อหุ้นคืนและงดจ่ายปันผลในช่วงนี้
นายรณดลกล่าวด้วยว่า ธปท.ได้สั่งการให้สถาบันการเงิน ประเมินและจัดทำแผนบริหารจัดการระดับเงินกองทุนสำหรับระยะที่ 1-3 ปีข้างหน้า โดยพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต และศักยภาพของลูกหนี้หลังโควิด-19 คลี่คลายลง ซึ่งจะต้องส่งแผนดังกล่าวให้ ธปท.ภายในปลาย ก.ค.นี้ แม้ว่ามาตรฐานระดับเงินกองทุนสถาบันการเงินจะต้องไม่ต่ำกว่า 8.5% แต่จะไม่ปล่อยให้เงินกองทุนอยู่ในระดับต่ำเกินไป หากระดับเงินกองทุนอยู่ที่ระดับ 11.5-12.5% จะต้องมีการหารือร่วมกัน เพื่อหาแนวทางบริหารจัดการเงินกองทุน โดยปัจจุบันระดับเงินกองทุนอยู่ที่ระดับ 18.7%
“ณ วันนี้ที่มีระดับเงินกองทุน 18.7% เชื่อว่าเราจะผ่านเหตุการณ์ไปได้ และคงไม่ถึงขนาดธนาคารจะต้องเพิ่มทุนในอนาคต และเชื่อว่าจากการออกมาตรการดังกล่าว การดูแลลูกหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ คงไม่ทำให้เกิดหนี้เสียสูงถึง 50% หรือหากเกิดเหตุรุนแรง คงไม่ปล่อยให้ระดับเงินกองทุนลดต่ำกว่ามาตรฐานแน่นอน” นายรณดลกล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |