เป็นอันว่าชัดเจนแล้วในวันที่ 27 มิ.ย.2563 พรรคพลังประชารัฐจะมีการประชุมเพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยส่วนใหญ่ทุกมุ้งออกมาคอนเฟิร์มว่ามีการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็น ‘เบอร์ 1’ คนใหม่ เข้ามากู้ชีพพรรคเป็นเวลา 6 เดือน แทนอุตตม สาวนายน ส่วนเลขาธิการพรรค ‘บิ๊กป้อม’ เคาะชื่อ ‘เสี่ยแฮงค์’ อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท เป็นแม่บ้านพรรคแทนสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
ก่อนหน้านี้ศึกชิงดำเก้าอี้เลขาธิการพรรค พปชร. มี 2 แคนดิเดตตัวกลั่น ได้แก่ สันติ พร้อมพัฒน์ แกนนำเพชรบูรณ์ ผนึกกำลังกับวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล และกลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น วัดพลังกับอนุชา นาคาศัย ที่มีสมศักดิ์ เทพสุทิน และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ‘กลุ่ม 3 มิตร’ หนุนหลัง
แต่ชื่อของ ‘เสี่ยแฮงค์’ เข้าวินนาทีสุดท้าย ส่วนสันติยอมรับการตัดสินใจของ ‘บิ๊กป้อม’ ยอมถอยหลบฉากไปนั่งเก้าอี้ ผอ.พรรคแทน
เส้นทางการเมืองขออนุชา หลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว เป็น ส.ส.ชัยนาทหลายสมัย เป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เคยถูกตัดสิทธิ 5 ปีหลังถูกยุบพรรค จากนั้นได้ก้าวข้าม ‘ทักษิณ’ มาสู่การเมืองรูปแบบใหม่ แล้วมาร่วมตั้งกลุ่มมัชฌิมากับสมศักดิ์ เคยอยู่ร่วมพรรคภูมิใจไทย และร่วมรัฐบาลกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกทั้งผลักดันให้นางพรทิวา นาคาศัย อดีตภรรยา ขึ้นสู่ตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ได้สำเร็จ
หลังรัฐประหาร “อนุชา” กลับมาเป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงก่อตั้ง ‘กลุ่ม 3 มิตร’ กับสมศักดิ์ สุริยะ และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ทั้งนี้ช่วงก่อนเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 "อนุชา" ลงพื้นที่หาเสียงทั่วประเทศ และมีส่วนสำคัญทำให้ พปชร.ได้ ส.ส.มาจำนวนมาก จนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
ระหว่างหาเสียง “อนุชา” ลั่นสัจจะเดิมพันต่อพี่น้องประชาชนว่า “หาก พปชร.เป็นรัฐบาลจะดูแลอย่างดี อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย และหาก 4 ปียังทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากไม่ได้จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต เพราะหากเป็นนักการเมืองแล้วช่วยประชาชนไม่ได้ก็ไม่เป็นซะดีกว่า” “อนุชา” ปราศรัยที่ อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 28 ก.พ.62
ช่วงตั้ง ครม. ตู่ 2/1 เริ่มต้นผู้ใหญ่ได้รับปาก “อนุชา” ว่าจะให้เป็นรัฐมนตรี แต่สุดท้ายโควตามีจำกัด จึงต้องยอมเสียสละตัวเองเพื่อให้ประเทศเดินไปได้ แต่ด้วยความใจใหญ่ รักพวกพ้อง เคยออกมาแถลงข่าวดุเดือดทวงคืนโควตาเก้าอี้ รมว.พลังงานให้กับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. และแกนนำกลุ่มสามมิตร “อาจจะมีกลุ่มบุคคลภายในพรรคที่ไม่อยากให้ผมได้เป็นรัฐมนตรี ไปเสนอท่านนายกฯ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผมขอกราบเท้าท่านนายกฯ ว่าผมไม่ขอรับตำแหน่งก็ได้ แต่ขอให้ท่านสุริยะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตามที่นายกฯ ได้ลั่นวาจาไว้ ผมจะไปกราบแทบเท้าท่านนายกฯ เลย" เป็นคำยืนยันของนายอนุชาในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2562 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ด้วยบุคลิกเข้มแข็ง พูดน้อยต่อยหนัก ใจนักเลง และไม่เคยให้ร้ายใคร แม้จะพลาดหวัง แต่ “อนุชา” ก้มหน้าก้มตามุ่งหน้าทำงานของตัวเอง และมีโอกาสเข้าบ้านมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ได้ทำงานใกล้ชิด “พล.อ.ประวิตร” ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พปชร. ด้วยการให้คำปรึกษาการบริหารจัดการพรรค และวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง กล้าชี้จุดเสี่ยง ประเมินจุดตายรัฐบาลที่ไม่ควรมองข้าม จนผลงานเข้าตา “บิ๊กป้อม” กระทั่งมีข่าวในช่วงต้นปี 2563 ว่าจะเปลี่ยน “แม่บ้าน พปชร.” ให้ “อนุชา” เป็นคนดูแลมาแล้ว แต่ถูกกลุ่ม 4 กุมารยื้อออกไป พร้อมให้เครือข่ายย้อนทำร้าย พล.อ.ประวิตรให้ด้อยค่าในสายตาประชาชน สุดท้ายเจ้าของบ้านจึงใช้กำลังภายในยกระดับไล่หัวหน้าอุตตม เด็ดขั้ว “สมคิด” ออกไป
หันมาดูบัญชีทรัพย์สิน แม้ “อนุชา” แจ้งบัญชีทรัพย์สิน 2,188,058 บาท เป็นเงินสด 5 แสนบาท เงินฝาก 38,058 บาท ที่ดิน 1,050,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 6 แสนบาท ไม่มีหนี้สิน แต่ด้วยคอนเน็กชั่นและแรงหนุนจาก “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” จึงไม่ต้องกังวล
มุมธุรกิจ ตระกูล “นาคาศัย” เป็นเจ้าของธุรกิจก่อสร้างใน จ.ชัยนาท รวมถึงบริหารสโมสรฟุตบอลชัยนาท ฮอร์นบิล ส่วนคนในครอบครัว ‘นาคาศัย’ นายอนุรุทธิ์ นาคาศัย น้องชายนายอนุชา เป็นกรรมการบริษัทอย่างน้อย 2 แห่ง ได้แก่ 1.บริษัท ชัยนาท เอฟ.ซี. จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 16 ก.พ.2554 ทุนปัจจุบัน 20 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจกิจการให้บริการสโมสรฟุตบอล (เจ้าของสโมสรชัยนาท ฮอร์นบิล) มีนายอนุรุทธิ์ นาคาศัย และนางศศิธร อยู่ประยงค์ เป็นกรรมการ แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2561 มีรายได้รวม 15,788,410 บาท รายจ่ายรวม 37,019,811 บาท ขาดทุนสุทธิ 21,231,400 บาท
2.บริษัท เอ-เทค อินเตอร์โปรดักส์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 7 มี.ค.2532 ทุนปัจจุบัน 5 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดไว้ในประเภทอื่น มีนายอนุรุทธิ์ นาคาศัย และนางศศิธร อยู่ประยงค์ เป็นกรรมการ แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2561 มีรายได้รวม 49,519,394 บาท รายจ่ายรวม 49,093,079 บาท กำไรสุทธิ 132,709 บาท (ข้อมูลบางส่วนจากสำนักข่าวอิศรา)
เอาเป็นว่ายุคใหม่ของ พปชร.เริ่มต้นขึ้นแล้ว ฉากต่อไปคือการ ‘ปัดกวาด’ ทลายกลุ่ม ก๊วน ก๊ก ส.ส.ที่แบ่งกันหลายมุ้งให้กลับมาผนึกกำลังกันอีกครั้ง ป้องกันไม่ให้เกิด ‘คลื่นใต้น้ำ’ เหมือนในช่วงที่ผ่านมา โดยผู้มีบทบาทรับมอบหน้าที่สำคัญคือ ‘แม่บ้านพรรคป้ายแดง’ เช่นคนอย่าง ‘เสี่ยแฮงค์’ มีคุณสมบัติครบถ้วน ถือว่ามีประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ได้รับการยอมรับจาก ส.ส.จำนวนไม่น้อย และเข้าใจคนยากคนจน รวมทั้งยังการันตีสถานะทางการเมืองของ “สุริยะ-สมศักดิ์” ให้มั่นคง เพิ่มโอกาสให้ “กลุ่มสามมิตร” มั่งคั่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ปิดฉากยุคสมัย ‘จอมยุทธ์สมคิด-4 กุมาร’ คุม พปชร.เบ็ดเสร็จ จนนำไปสู่ความแตกแยกแบ่งกลุ่ม ก๊วน ก๊ก ในห้วง 1 ปีเศษที่ผ่านมา
จับตาดูฝีมือ ‘เสี่ยแฮงค์’ ขึ้นมานำพรรค ฟื้นวิกฤติศรัทธาจากบรรดา ส.ส.และประชาชนให้กลับมารุ่งโรจน์ทำให้ พปชร.เป็นพรรคอันดับหนึ่ง รวมทั้งทำตามสัญญาดังที่เคยลั่นกับพี่น้องประชาชนได้หรือไม่.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |