ระอา!แย่งชามข้าว ต้นแบบไม่ดีให้เยาวชน/อึ้ง!พรรคเล็กหนุน'ตี๋เต้'


เพิ่มเพื่อน    


    ซูเปอร์โพลเผยเยาวชนยี้ผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองแย่งตำแหน่ง รมต. จ้องถอนทุนคืนไม่เป็นแบบอย่างเด็กและเยาวชน ลั่นจะไม่เชื่อผู้ใหญ่ในรัฐบาลชี้แนะสั่งสอน สวนดุสิตโพลระบุการเปลี่ยนแปลงใน พปชร.แค่การแย่งชิงอำนาจ เชื่อการเมืองไทยยังเหมือนเดิม ด้าน พปชร.เปลี่ยนแผนเทียบเชิญ "บิ๊กป้อม" จะเดินทางเข้าที่พรรคพร้อมจัด ส.ส.รอหามนั่งหัวหน้า ฮือฮา "พิเชษฐ" รับ 7 ใน 11 พรรคเล็กหนุน "เต้-พระราม 7" ได้โควตา รมต. ขณะที่ 2 พรรคเล็กจ่อยุบรวม พปชร.ซ้ำรอย "พรรคไพบูลย์"
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจภาคสนามเรื่อง การเมืองกับเยาวชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,539 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15-20 มิ.ย.2563 ที่ผ่านมา
    เมื่อถามถึงการประพฤติตัว ปฏิบัติตนของผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคการเมือง แบบอย่างแก่เด็กและเยาวชน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.8 ระบุแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี จ้องจะถอนทุนคืน รองลงมาคือร้อยละ 88.7 ระบุคิดคด ทรยศ หักหลัง ฆ่าลูกน้องและเพื่อนร่วมต่อสู้กันมา แบบเสร็จนาฆ่าโคถึก, ร้อยละ 86.1 ระบุกร่าง หัวร้อนใช้อำนาจบาตรใหญ่หาเรื่องคนอื่นไปทั่ว, ร้อยละ 78.1 ระบุมีภาวะตัณหาอยากมีอยากเป็น ที่น่าเป็นห่วงคือ เพียงร้อยละ 8.7 เท่านั้นที่เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองเป็นคนดี มีคุณธรรม เข้าวัดปฏิบัติธรรม และเพียงร้อยละ 7.9 ที่รักประชาชน ไม่เลือกปฏิบัติ
    ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.6 ระบุไม่ดีเลย แย่สุดๆ ในเรื่องแบบอย่างที่เยาวชนได้รับจากการทำตัวของผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคการเมือง มีเพียงร้อยละ 10.4 ระบุว่าดี นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.4 ระบุเยาวชนจะไม่เชื่อไม่ทำตามเมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลชี้แนะและสั่งสอน มีเพียงร้อยละ 8.6 ระบุเชื่อฟัง ทำตาม
    ที่น่าเป็นห่วงเช่นกันคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.9 ระบุการทำตัวของผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองกำลังไปสู่การเมืองเก่า ที่มีแต่ทุจริต คอร์รัปชัน ไม่ซื่อสัตย์ ร้อยละ 7.1 เท่านั้นที่ระบุการเมืองใหม่ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.2 ระบุไม่เห็นผลงานรัฐบาลทำอะไรที่ดูแลเอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ของเยาวชนเลย ในขณะที่ร้อยละ 22.8 เห็นผลงาน
    ทางด้านสวนดุสิตโพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่องประชาชนคิดอย่างไร? กับการปรับเปลี่ยนในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จากความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,108 คน ระหว่างวันที่ 15-19 มิ.ย.2563 สรุปผลได้ดังนี้  1.ประชาชนคิดอย่างไร? กับการปรับเปลี่ยนในพรรค พปชร. อันดับ 1 เป็นการแย่งชิงอำนาจ 62.16%, อันดับ 2 มีปัญหาภายในพรรค 57.22%, อันดับ 3    เป็นเกมการเมือง 56.12%, อันดับ 4 สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง 27.79%, อันดับ 5 สมบัติผลัดกันชม 25.78%, อันดับ 6 เพื่อปรับ ครม. 25.59%, อันดับ 7 เพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานใหม่ 18.65%
        2. ถึงเวลาที่จะมีการปรับเปลี่ยนในพรรค พปชร.หรือยัง? อันดับ 1 ถึงเวลาแล้ว 72.20% เพราะไม่มีผลงาน ขาดประสิทธิภาพ การทำงานจะได้ดีขึ้น ต้องการผู้ที่เหมาะสมมีความรู้จริง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ฯลฯ, อันดับ 2 ยังไม่ถึงเวลา 27.80% เพราะยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า เสียเวลา ควรทำงานต่อไป ถึงเปลี่ยนใหม่ปัญหาต่างๆ ก็ยังเหมือนเดิม ฯลฯ
       3.คิดว่าใคร? สมควรจะเป็น “หัวหน้าพรรค” อันดับ 1 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  54.26%, อันดับ 2 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 14.36%, อันดับ 3 นายวิรัช รัตนเศรษฐ 13.83%, อันดับ 4 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 9.57%, อันดับ 5 นายไพบูลย์ นิติตะวัน  7.98%
เปลี่ยนแผนหามป้อมที่พรรค   
    4.คิดว่าใคร? สมควรจะเป็น “เลขาธิการพรรค” อันดับ 1    นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 35.76%, อันดับ 2 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 24.35%, อันดับ 3 นายไพบูลย์ นิติตะวัน 13.99%, อันดับ 4 นายอนุชา นาคาศัย 13.21%, อันดับ 5 นายอิทธิพล คุณปลื้ม 12.69% และ  5.การปรับเปลี่ยนภายในพรรคพลังประชารัฐ จะทำให้การเมืองไทยเป็นอย่างไร? อันดับ 1 เหมือนเดิม 54.15%,  อันดับ 2 แย่ลง 25.99%, อันดับ 3 ดีขึ้น 19.86%
    ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรักษาการรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความคืบหน้าการเทียบเชิญพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ว่าได้รับทราบจากนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ว่าเนื่องจากวันดังกล่าวตรงกับวันประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทาง พล.อ.ประวิตร จะเดินทางไปพบกับ ส.ส.ภายหลังการประชุม ครม.ในช่วงบ่ายด้วยตนเองที่ศูนย์ประชุมพรรค โดยมี ส.ส.จำนวนมากจากทุกกลุ่มมารอต้อนรับ เพื่อเรียนขอร้องให้ พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นที่รักและเคารพของสมาชิก ยอมลงมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อช่วยทำให้พรรคเป็นเอกภาพ มีความมั่นคง เป็นปึกแผ่น เติบโตได้อย่างมั่นคง และสนับสนุนงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
     นายไพบูลย์กล่าวว่า ส่วนการประชุมใหญ่สามัญพรรค พปชร.ที่จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 27 มิถุนายนนั้น เชื่อว่าการประชุมจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนรายชื่อของกรรมการบริหาร (กก.บห.)พรรค ก็จะเป็นบุคคลที่เป็นคนของพรรค สังคมรู้จักอยู่แล้ว โดยตำแหน่งที่สำคัญและ ส.ส.อยากเห็นชื่อมากที่สุดก็คือชื่อของ พล.อ.ประวิตร ในการมานั่งเป็นหัวหน้าพรรค สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด 
     นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองในการปรับ ครม.และการเปลี่ยนแปลงของพรรคการเมืองต่างๆ ว่าตนไม่ได้ให้ความสนใจหรือติดตามความเคลื่อนไหวการเมืองใดๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเดือดร้อนของประชาชนโดยตรง ยังมีภารกิจที่จะต้องทำงานเพื่อประชาชนต่อไปอีก คือติดตามตรวจสอบโครงการต่างๆ จึงไม่ต้องมาหวาดระแวงตนในเรื่องนี้ เพราะไม่มีความคิดหรือความกระสันที่จะเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ และไม่มีความคิดจะเข้าไปเป็น กก.บห.ของพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวใดๆ ภายในพรรค จะขอทำหน้าที่เป็น ส.ส.จะเป็นประโยชน์ให้กับประชาชนประเทศได้มากกว่าตำแหน่งอื่นใด
    นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวถึงความเคลื่อนไหวภายในพรรค ปชป. ว่าเรื่องต่างๆ ต้องจบด้วยการพูดคุยกัน แม้การพูดคุยจะเป็นเรื่องง่าย แต่ตนไม่รู้ว่าเหตุใดจึงทำยาก ที่ผ่านมาเรื่องข่าวความเคลื่อนไหว การเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น ฟังกันมาคนละทิศละทางแล้วจับเป็นประเด็น ตนได้ยินชัดๆ จริงๆ แค่ว่าให้คุยกันหน่อยไหม เรื่องทิศทางการทำงานของพรรค การประชุม กก.บห. วันที่ 29 มิ.ย.นี้ เชื่อว่าไม่มีเรื่องการเสนอเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคนะ มีแต่คนที่จะขอพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนาพรรคเท่านั้น ที่ผ่านมามี ส.ส. อดีต ส.ส. และบางคนใน กก.บห.ประมาณ 30 คน ติดต่อมายังตนให้ช่วยสื่อสารให้เกิดการพูดคุย ล่าสุดตนจะเป็นเจ้าภาพให้เอง ซึ่งคงจะจัดขึ้นที่ กทม. โดยจะเน้นอดีต ส.ส.ภาคใต้เป็นหลัก มาพูดคุยปรับการทำงาน เบื้องต้นยังไม่ได้กำหนดวันว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่ แต่น่าจะเร็วๆ นี้
พรรคเล็กหนุน'มงคลกิตติ์'นั่งรมต.
    นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย กล่าวกรณีพรรคเล็กรวมตัวเพื่อสนับสนุนนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ให้ได้โควตารัฐมนตรีว่า ทางพรรคเล็ก 11 พรรคมีการหารือเรื่องดังกล่าวจริง โดยหารือกันมาโดยตลอด มองว่าถ้าเป็นไปได้ ในฐานะ 11 พรรคเล็กที่สนับสนุนรัฐบาลมาโดยตลอด อยากมีตัวแทนของ 11 พรรคเข้าไปทำหน้าที่รัฐมนตรี ซึ่งตนก็ได้เสนอนายมงคลกิตติ์ เนื่องจากเห็นว่ามีคุณสมบัติที่ครบ เหมาะสม ทั้งวุฒิการศึกษา วัยวุฒิ ผลงานในสภา มีความสามารถ รอบรู้ เป็นคนรุ่นใหม่ และมีน้ำใจ จะเห็นว่าช่วงโควิด-19 นายมงคลกิตติ์ยอมสละเงินเดือน ส.ส. จึงคิดว่ามีความเหมาะสม มีพรรคที่เห็นด้วยจำนวน 7 พรรค กับการเสนอรายชื่อของนายมงคลกิตติ์ แต่ทั้งนี้อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดเป็นของนายกรัฐมนตรี
    ขณะที่นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ หัวหน้าพรรคพลเมืองไทย ในฐานะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และในฐานะผู้ประสานงาน 11 พรรคเล็ก กล่าวว่า ขณะมีการเคลื่อนไหวกันหลายพรรค แต่ในส่วนพรรคเล็กที่ตนทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานนั้น ยังไม่ได้ข่าวว่าจะมีการปรับ ครม.หรือไม่ หรือจะมีโควตาให้พรรคเล็กหรือไม่ โดยส่วนตัวก็ไม่มีความคิดที่จะเข้าไปเป็น เนื่องจากเราเป็นพรรคเล็ก และขณะนี้รัฐบาลโดยการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร มีเรื่องสำคัญที่ต้องดูแลประชาชนมากมาย ดังนั้นพวกเราไม่อยากไปเสนอตัวหรือไปสร้างข่าวให้ท่านเกิดความกังวลมากเพื่อท่านจะได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ในการบริหารงานและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนหลังจากผ่านเหตุการณ์โควิด-19 ยืนยันว่าพรรคเล็กไม่มีการเรียกร้องเรื่องตำแหน่ง
    นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รักษาการรองหัวหน้าพปชร. กล่าวถึงกระแสข่าว 2 พรรคเล็กเตรียมยุบรวมกับพรรคพปชร. ว่าเป็นไปตามข่าวที่ปรากฏ เบื้องต้นทราบว่าอยู่ระหว่างรอกระบวนการต่างๆ ของพรรคให้เสร็จสิ้นก่อนจึงดำเนินการได้ต้องเคลียร์ให้ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่การควบรวมพรรค แต่เป็นการเลิกกิจการพรรค ตัวเขาในฐานะที่เป็น ส.ส. ก็มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามข้อกฎหมายที่สามารถดำเนินได้ 
    พล.ต.อ.ยงยุทธ เทพจำนงค์ หัวหน้าพรรคประชานิยม กล่าวถึงกระแสข่าวว่าเตรียมยุบรวมกับพรรค พปชร.ว่า ข้อเท็จจริงยอมรับ มีกรรมการบริหารพรรคลาออกจำนวน 9 คน จึงได้เรียกประชุม กก.บห.ทั้งหมด ก่อนที่ทุกคนจะมีมติร่วมกันว่าดำเนินการต่อไปไม่ไหว เพราะต่างคนต่างมีภารกิจของตัวเอง และไม่สามารถแบกรับภาระได้ จึงได้ทำเรื่องถึง กกต. เพื่อขอแจ้งการเลิกกิจการพรรคฯ และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งใช้รูปแบบเดียวกับกรณีที่นายไพบูลย์ดำเนินการยื่นยุบพรรคประชาชนปฏิรูปก่อนหน้านี้ ส่วนสถานะ ส.ส.ของตนเองที่จะต้องหาพรรคการเมืองใหม่สังกัดจะเป็นพรรค พปชร.ตามกระแสข่าวหรือไม่ ทุกอย่างจะต้องรอขั้นตอนต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อน แต่ที่ชัดเจนเรายังอยู่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลแน่นอน เพราะเราสนับสนุนการทำงานมาตั้งแต่ต้น ส่วนจะเป็นพรรคไหน ให้ว่ากันไปตามกระบวนการ
    รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับพรรคการเมืองขนาดเล็ก 2 พรรค เตรียมเลิกกิจการพรรคนั้น ใช้โมเดลเดียวกับนายไพบูลย์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 91 วรรคท้าย ในเรื่องการรับรองสิทธิ ส.ส.กรณีที่มีการเลิกพรรค ซึ่งทำให้พรรคสิ้นสภาพนั้น ถือว่าเป็นกรณียุบพรรค ส.ส.ของพรรคดังกล่าวไป สามารถหาพรรคการเมืองใหม่สังกัดภายในเวลาไม่เกิน 60 วัน ไม่เช่นนั้นก็จะพ้นจากสมาชิกภาพ ส.ส. ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศเรื่องดังกล่าวลงในราชกิจจานุเบกษา
“อ้วน”สวนกลับใครริษยารู้กันดี
    ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ระบุต้องการทำงบ 64 และปรับวิธีทำงาน New Normal ให้จบก่อน ถึงจะทำเรื่องปรับ ครม. ว่ากระแสข่าวปรับ ครม.ที่ไม่มีความชัดเจน ปล่อยให้อึมครึมนานๆ จะส่งผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน รัฐมนตรีที่มีข่าวจะถูกปรับออก คงไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานอะไร สภาพไม่น่าจะแค่เกียร์ว่าง บางกระทรวงอาจถึงขั้นล็อกเกียร์ ข้าราชการทำงานต่อลำบาก เพราะต้องลุ้นหลายขยัก ตั้งแต่ปรับโครงสร้างพรรครองรับการปรับครม. ปรับสัดส่วนโควตาพรรคร่วมรัฐบาล จนปั่นป่วนวุ่นวาย สร้างมุ้ง ดูด ส.ส.งูเห่า โชว์ตัวเลข รวมแต้มวางบิล ปั่นราคา ทวงโควตารัฐมนตรี ทำให้การเมืองไทยยังวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ เป็นพฤติการณ์ Old Normal ครม.เก่าหรือใหม่ อาจตอบโจทย์เพียงการเปลี่ยนตัวเล่นลากยาวอำนาจ แต่ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาของประเทศที่วิกฤติรอบด้าน ไวรัสโควิด คนไทยช่วยกันป้องกันได้ แต่ไวรัสการเมืองน้ำเน่าระบาด ถ้าไม่ปฏิรูปการเมืองจริงจัง ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ไม่สามารถแก้ไขได้ 
      นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มแคร์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ในช่วงที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสกับพิษเศรษฐกิจหลังโควิด แทนที่จะได้เห็นนักการเมืองร่วมมือช่วยกันนำเสนอหาทางเลือกทางรอดให้ประชาชน แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นกลับตรงข้าม เพราะเมื่ออ่านบทสัมภาษณ์ผู้นำทางการเมืองช่วงนี้ ต่างกล่าวโจมตีและโยนความผิดกันไปมา คงเป็นไปตามความถนัด คนที่เก่งสร้างภาพด้วยการโยนผิดใส่คนอื่น ล้วนทำไปด้วยโมหจริตของปุถุชน ความจริงๆ เป็นเช่นไร ผู้คนทั่วไปต่างรู้ดี..ไม่จำเป็นต้องแก้ต่าง ไม่จำเป็นต้องลงไปเกลือกกลั้วให้เปื้อนโคลน เพราะใครเป็นนักสร้างภาพสร้างอีเวนต์ ใครจริง ใครปลอม ใครริษยา ผู้คนเค้ารู้กันดี!!
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การโพสต์ข้อความอย่างดุเดือดของนายภูมิธรรมครั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าเกิดขึ้นหลังจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหา คำพูดบางตอนที่ดูเหมือนอาจจะไปพาดพิงสมาชิกพรรคบางคน
    น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดประชุมสามัญประจำปีของพรรคว่า ขณะนี้ทางพรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการกำหนดวาระการประชุม โดยคาดว่าจะจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีหลังการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 64 น่าจะมีขึ้นประมาณกลางเดือน ก.ค.เป็นต้นไป โดยวาระการประชุมจะกำหนดให้เป็นไปตามที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนด สำหรับโครงสร้างและจำนวนของ กก.บห.พรรคคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนตัวบุคคลก็คงมีการดำเนินการปรับปรุงให้เป็นไปตามโครงสร้างและข้อบังคับของพรรค 
         เมื่อถามว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจในพรรคหรือไม่ น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ขอยืนยันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยไม่เคยมีขั้วอำนาจ ผู้บริหารและสมาชิกพรรคต่างร่วมมือกันทำงานด้วยความสามัคคี ในการทำงานที่ผ่านมาอาจมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้าง แต่ไม่ใช่การแตกแยก และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทุกคนต่างทำงานโดยยึดอุดมการณ์และเป้าหมายในการเป็นพรรคแกนนำของฝ่ายประชาธิปไตยร่วมกัน แม้จะมีการปรับเปลี่ยน กก.บห.พรรคบางตำแหน่ง ก็มั่นใจพรรคจะเป็นปึกแผ่นเช่นเดิม.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"