"บิ๊กตู่" ประกาศเปลี่ยนโฉมประเทศไทยหลังโควิด ดึง ปชช.ร่วมวางอนาคต ปท.ใหม่ กำหนดนโยบายการทำงานของรัฐบาล พร้อมประเมินผลงานภาครัฐ สั่งทุกกระทรวงเสนอวิธีทำงานแบบ New Normal ให้ ครม.พิจารณา เฮ! ไร้ติดเชื้อในไทย 23 วันติด "อนุทิน" ชง ศบค.เคาะ Travel Bubble 26 มิ.ย.นี้
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. เวลา 18.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย แถลงเรื่อง "วิธีการทำงานแบบ New Normal ของนายกรัฐมนตรี" ว่า "วันนี้เป็นครั้งแรกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาที่รู้สึกเบาใจในระดับหนึ่ง และคิดว่าสามารถพูดกับพี่น้องประชาชนได้ว่า ตอนนี้เราเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว หลังจากที่วิกฤติโควิดได้สร้างความเสียหายมากมายมหาศาลไปทั่วโลก พร้อมกับสร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสกับชีวิตความเป็นอยู่ และการทำมาหากินของพี่น้องหลายสิบล้านคนในประเทศไทย"
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลและทั้งประเทศควรจะทำงานในทุกวันให้เหมือนกับว่าเราอยู่ในวิกฤติ เราต้องก้าวข้ามเกมการเมือง และลงมือทำงานกันอย่างจริงจัง ให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ในฐานะที่พวกเราคือคนที่ประชาชนเลือกให้มาเป็นตัวแทนทำงานบริหารประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทุกคนพูดกันว่าหลังวิกฤติโควิดครั้งนี้ โลกของเราจะเปลี่ยนไป เป็นเหมือนโลกใบใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม และเราจะต้องใช้ชีวิตกันในรูปแบบใหม่ แบบที่เรียกว่า New Normal เพื่อที่จะอยู่รอดและก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ซึ่งหมายความรวมถึงการทำงานของรัฐบาลด้วย
วันนี้ผมจึงขอประกาศให้ทุกท่านทราบว่า เมื่อเราเข้าสู่โลกใหม่ จากนี้เป็นต้นไปการทำงานของรัฐบาลจะต้อง New Normal ปรับเปลี่ยนเป็นวิธีการทำงานแบบใหม่ด้วย 1.ผนึกทุกภาคส่วนร่วมวางอนาคตประเทศไทย ต่อไปนี้รัฐบาลจะต้องทำงานโดยดึงทุกภาคส่วน และทุกระดับในสังคม เข้ามามีส่วนร่วมและมีบทบาทมากขึ้น ในการช่วยกันกำหนดอนาคตของประเทศ หลังโควิดผมจะปรับวิธีการวางแผน และกำหนดนโยบายหรือมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่จะได้รับผลจากนโยบายต่างๆ เหล่านั้นได้มีส่วนร่วมมากขึ้น ไม่ใช่แค่รับรู้นโยบายต่างๆ จากการอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์หรือสื่อออนไลน์เหมือนที่ผ่านๆ มา ต่อไปนี้ประชาชนต้องมีโอกาสมีส่วนร่วม รัฐบาลต้องได้ยินเสียงของประชาชน และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้มากขึ้น" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า "สิ่งที่ต้องทำในฐานะผู้นำประเทศคือ เปิดโอกาสให้คนมากมายที่มีความปรารถนาดี และอยากจะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ แต่ไม่เคยมีโอกาสมาก่อนได้มีโอกาสและมีส่วนร่วมมากขึ้น ต้องทำให้ฟันเฟืองที่สำคัญตัวนี้ นั่นคือความสามารถของคนในประเทศ ได้ถูกนำมาใช้ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยของเราให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า จะขอให้แต่ละภาคส่วนเตรียมการเข้ามานำเสนอวิสัยทัศน์ และความคิดในการเปลี่ยนโฉมและขับเคลื่อนภาคส่วนของท่านไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยนำพาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าให้ได้ไกลขึ้นและรวดเร็วขึ้นด้วย
หลังจากได้รับความคิดเห็นต่างๆ มาแล้ว รัฐบาลจะพิจารณาความเป็นไปได้ ศึกษาข้อดี ข้อเสีย ของข้อเสนอแนะต่างๆ ในวิธีการที่โปร่งใสและเปิดกว้าง ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อหาหนทางที่ดีที่สุดที่จะดำเนินการโครงการนั้นๆ ให้เกิดขึ้นจริงอย่างมีประสิทธิภาพ และบูรณาการกับภาคส่วนอื่นๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "อย่างที่ 2 ที่ต้องเปลี่ยน คือการประเมินผลงานภาครัฐโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัวจริง ตนได้ตัดสินใจแล้วเมื่อเราเลือกที่จะปรับวิธีการทำงานของรัฐบาล โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมมากขึ้น เราก็ควรต้องเปลี่ยนระบบประเมินผลการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของรัฐ ว่าได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนตามที่เราคาดหวังไว้หรือไม่ เราต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเราต้องกำจัดสิ่งที่ทำแล้วเสียเปล่าไม่มีประโยชน์ต่อประชาชนออกไปให้ได้มากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นอันดับต่อไปก็คือ จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีบทบาทในการประเมินผล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ให้ผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลได้รับทราบโดยตรงได้ด้วย
อย่างที่ 3 ที่ต้องทำคือ การทำงานเชิงรุก ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เราต้องทำงานให้บูรณาการมากขึ้น และจะทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยจะกำหนดนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ให้กระทรวงต่างๆ ทำขึ้นมาขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยจะติดตามกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นจริงอย่างมีประสิทธิภาพ
ผมรู้ว่าเมื่อเราเริ่มทำงานในวิธีการแบบใหม่ อาจจะมีเสียงคัดค้านไม่เห็นด้วย หรือมีการวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น ซึ่งผมพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ และหากเป็นข้อเสนอแนะที่ดี ผมก็พร้อมที่จะทำตามข้อเสนอแนะนั้นด้วย เพราะประชาชนคนไทยรอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว คนไทยควรจะได้ก้าวไปสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ดังนั้นเราต้องไม่เสียเวลาไปกับการถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วปล่อยให้คนไทยต้องอดทนรอต่อไปอีกเป็นเดือนๆ ปีๆ หยุดอยู่กับที่ แทนที่จะได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เราต้องหยุดเสียเวลาไปกับการคุยเรื่องไม่สร้างสรรค์ เราต้องหยุดไม่ปล่อยให้เกมการเมืองที่ไม่สุจริตบิดเบือนข้อเท็จจริง มาดึงรั้งการก้าวเดินไปข้างหน้าของประเทศโดยไม่จำเป็น เราจะเดินหน้าภารกิจที่สำคัญนี้ไปด้วยกัน นั่นคือภารกิจรวมไทยสร้างชาติโดยคนไทยทุกคน หวังว่าวิกฤติครั้งนี้จะช่วยให้เราเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศ ให้ประเทศไทยก้าวเดินออกจากหายนะโควิด ไปเป็นประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม" นายกฯ กล่าว
ขณะที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า วันที่ 17 มิ.ย.ไทยไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มทั้งในประเทศและสถานที่กักกันของรัฐ ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 3,135 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 3 ราย ทำให้มีผู้หายป่วยแล้ว 2,996 ราย รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 81 ราย เสียชีวิตยังอยู่ที่ 58 ราย โดยตัวเลขการติดเชื้อภายในประเทศเป็นศูนย์ติดต่อกัน 23 วัน ซึ่งเป็นสถิติของไทยและสถิติที่ดีของโลกด้วย แต่ถ้าจะให้ดีอยากให้เป็น 28 วัน ในส่วนแอปไทยชนะขณะนี้กำลังพัฒนาต่อไป คิวอาร์โค้ดไทยชนะจะเป็นโลโก้ด้านความปลอดภัยในการติดหรือไม่ติดโควิด-19
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาศึกษาเพื่อรองรับกรณีหากมีการยกเลิกประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 กล่าวถึงกรณีหากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วจะสามารถใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อแทนได้หรือไม่ว่า ต้องไปประเมินกันเอง ได้แนะนำไปหลายแนวทาง โดยจะต้องไปพูดคุยกับฝ่ายสาธารณสุข ฝ่ายปกครอง และฝ่ายความมั่นคง ที่ผ่านมาฝ่ายสาธารณสุขก็ปรารภเรื่องความยุ่งยากหลายอย่างหากไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และได้ยกตัวอย่างกรณีแรงๆ หลายกรณีเหมือนกัน ตนก็บอกว่าไม่ทราบเพราะไม่เคยเจอ จึงแนะนำให้ลองไปคิดเองว่า กระทรวงสาธารณสุขสามารถมีความพร้อมขนาดไหนในการเผชิญปัญหา
"หากเราสามารถทำงานแบบบูรณาการ นำตำรวจ ทหาร พลเรือน และ อสม.มาร่วมทำงานด้วย คนเหล่านั้นทำงานด้วยความเชื่อมั่น ไม่เกรงกลัวอะไร ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถออกคำสั่งโดยไม่ต้องวิตกมากนักว่า พอสั่งไปแล้วมีคนไปร้องศาลปกครอง จนต้องหยุดคำสั่งไป หากเป็นอย่างนี้ก็จะเดินหน้าใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อได้ เราจึงให้เลขาฯ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธานในเรื่องนี้" นายวิษณุกล่าว
ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการจับคู่การเดินทางระหว่างประเทศ (Travel Bubble) ว่า เรื่องนี้ผู้เกี่ยวข้องจะมีการหารือและเสนอต่อนายกรัฐมนตรี และ ศบค.ชุดใหญ่พิจารณาในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ ซึ่งการจับคู่คงเป็นลักษณะการทำเอ็มโอยู หากประเทศที่จับคู่เกิดการระบาดขึ้นมาอีกและควบคุมไม่ได้ก็สามารถยกเลิกได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |