17 มิ.ย.63- เฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ เล่าถึง ที่มาของภาพ ร.7 จับมือฮิตเลอร์ ที่คุณ...อาจไม่เคยรู้ และถูกนำไปบิดเบือน
มีเพื่อนรุ่นน้องชาวออสซี่ที่นิยมความเป็นไทย ติดตามข่าวการเมืองเสมอ และมีพ่อที่ทำธุรกิจบินเข้าออกเมืองไทยตลอดเวลา เคยถามผมว่า ทำไมมีภาพ ร.7 จับมือฮิตเลอร์ ไหนๆ ก็เล่าให้ฝรั่งฟังแล้ว ก็ถือโอกาสเล่าให้พี่น้องชาวไทยที่อาจไม่เคยรู้ทราบไปด้วยเลย
............................................................................
ภาพนี้เป็นภาพในช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จไปประทับรักษาพระองค์ที่อังกฤษ ซึ่งในระหว่างนั้นได้ทรงแวะเยี่ยมประธานาธิบดีฮินเดนบวร์กแห่งเยอรมันที่ทรงคุ้นเคย
แต่เวลานั้นประธานาธิบดีฮินเดนบวร์กกำลังป่วย จึงให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งในเวลาคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ออกมาเป็นตัวแทนของประธานาธิบดีฮินเดนบวร์ก เพื่อถวายการตัอนรับในนามของประธานาธิบดีเยอรมัน
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมันในปี 1933 ปีรุ่นขึ้น 1934 ในหลวงรัชกาลที่ 7 ของไทยเราก็สละราชสมบัติ ซึ่งเป็นปีเดียวกันที่ประธานาธิบดีฮินเดนบวร์กถึงแก่อสัญกรรม
หลังจากนั้นอีกถึง 6 ปี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ถึงแปลงกายเข้าสู่ดาร์กไซค์กลายเป็นผู้นำนาซีที่ต้องการสร้างอาณาจักรไรช์ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยการก่อสงครามโลกครั้งที่ 2
แปลว่า ภาพนี้ไม่ได้เป็นภาพหลักฐานที่แสดงว่า รัฐบาลไทยโดยในหลวงรัชกาลที่ 7 เป็นมิตรกับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีอาชญากรในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่อย่างใด
สรุปว่า เป็นภาพที่ ในหลวงรัชกาลที่ 7 แวะไปเยี่ยมประธานาธิบดีฮินเดนบวร์กแห่งเยอรมันเพื่อนเก่า ก่อนสงครามโลกปะทุจากฝีมือฮิตเลอร์หลายปี
**อย่างเอาความจริงไปบิดเบือน
............................................................................
ถ้าอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดตามกันต่อไปดังนี้
ประเทศไทยและเยอรมันเป็นมหามิตรกันมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงส่งเจ้าฟ้าหลายพระองค์รวมถึงข้าราชการไปศึกษาที่เยอรมัน ต่อเนื่องมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 6
การเสด็จพระราชดำเนินประพาสประเทศเยอรมนีของในหลวงรัชกาลที่ 7 มีรายละเอียดปรากฏอยู่ในหนังสือ
“จากจดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ.๒๔๗๖ - ๒๔๗๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว”
............................................................................
โดยในตอนที่ ๑๒ (ในประเทศเยอรมนี) พอสรุปได้ว่า
ได้เสด็จไปถึงประเทศเยอรมนีโดยทางเรือจากประเทศเดนมาร์ก ถึงท่าเรือเมืองแฮมเบิคในวันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ และในวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๔๗๗ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมประธานาธิบดี ฟอน หิน เดนบูร์ค ของเยอรมนี ซึ่งชราภาพแล้ว โดยมีอายุ ๘๗ ปี
และแพทย์ไม่ยอมให้มาเฝ้าที่กรุงเบอร์ลิน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ จึงเสด็จไปเยี่ยมประธานาธิบดี ณ คฤหาสน์ที่เมืองเนยเดก
ในวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๔๗๗ เสด็จพระราชดำเนินไปถึง ฮิตเลอร์ นายกรัฐมนตรีหรือ Chancellor ถวายการต้อนรับ เนื่องจากแพทย์ไม่อนุญาตให้ประธานาธิบดีที่กำลังป่วยมาถวายการต้อนรับ
จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมชมกิจการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ โรงไฟฟ้าของกรุงเบอร์ลิน โรงวิทยาศาสตร์ และ โรงผสมยาของ บริษัท เชอลิง ฆาห์ลโบม โรงงานกลั่นน้ำมันเบนซิน จากผงถ่านศิลาอ่อนที่เมือง เลอร์นา หอสอนดาราศาสตร์หรือที่รู้จักกันว่าท้องฟ้าจำลอง ซึ่งเครื่องฉายดาวในเวลานั้น ทั้งโลกมีอยู่เพียง ๗ แห่ง เป็นต้น
อันแสดงถึงความสนพระราชหฤทัยในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างดี
............................................................................
จากบันทึกประวัติศาสตร์นี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปเยี่ยมเพื่อนเก่า คือประธานาธิบดี ฟอน หิน เดนบูร์ค ของเยอรมัน แต่ไม่ได้พบกันเพราะท่านป่วย ฮิตเลอร์ ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงออกมาถวายการต้อนรับแทน
แล้วหลังจากนั้นก็เสด็จเยี่ยมชมกิจการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเป็นความสนพระราชหฤทัยในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ใช่ไปติดต่อกันในเรื่องการเมืองแต่อย่างใด
............................................................................
อัษฎางค์ ยมนาค
รวบรวม เรียบเรียง
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |