สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมาร้อนระอุอีกครั้ง กลางคืน จยย.บอมบ์ 3 จุดกลางเมืองสุไหงโก-ลก กลางวันดวลปืนสนั่นเมืองปัตตานี ตำรวจบาดเจ็บ 3 นาย กลุ่มก่อความไม่สงบโดนวิฯ 2 ศพ
    เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ร.ต.อ.อดิศักดิ์ สะตือบา รอง สว.สอบสวน สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี  รับแจ้งเกิดเหตุยิงปะทะกันระหว่างตำรวจกับกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวน บนถนนทางหลวงชนบทสาย 4061 ม.6 บ้านระแว้ง ต.ระแว้ง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศานติปรัชญา ผกก.สภ.ยะรัง, พ.อ.หาญพล เพชรม่วง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 นำกำลังตำรวจทหารเข้าไปช่วยเหลือที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าคนร้ายได้หลบหนีไปแล้ว พบเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ทราบชื่อคือ สิบตำรวจตรีอาทิตย์ สุขแก้วคง, สิบตำรวจตรีสรรเพชญ คงเทพ, สิบตำรวจตรีศรัณย์พงศ์ คงมาก ทั้งสามมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนสั้น 9 มม.และกล็อกเข้าที่ท้องและขา บาดเจ็บสาหัส ถูกนำส่งโรงพยาบาลยะรัง และส่งต่อโรงพยาบาลปัตตานี
    นอกจากนั้น ที่เกิดเหตุพบคนร้ายเสียชีวิต 2 คน คนแรกเสียชีวิตที่คูข้างถนน ทราบชื่อภายหลังว่า นายซาการียา กือโน๊ะ อายุประมาณ 35 ปี เป็นคน อ.มายอ จ.ปัตตานี และในป่าสวนยางห่างจากศพคนร้ายรายแรกประมาณ 80 เมตร ทราบชื่อภายหลังว่านายอับดุลเลาะห์ เจะลี อายุประมาณ 36 ปี เป็น ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ทั้งสองมีบาดแผลถูกกระสุนบริเวณลำตัวและศีรษะ 
    นอกจากนี้ ที่เกิดเหตุพบระเบิดขว้างจำนวน 1 ลูก,  อาวุธปืน 9 มม. 1 กระบอก, อาวุธปืนสั้นกล็อก 1กระบอก และพบโทรศัพท์ วิทยุสื่อสาร ส่วนบนถนนพบรถจักรยานยนต์ของคนร้ายล้มอยู่ เป็นรถฮอนด้า เวฟ สีดำแดง ทะเบียนปลอม กพว ปัตตานี 298 และพบรถเจ้าหน้าที่ตำรวจ โตโยต้าวีโก้ สีบรอนซ์ ทะเบียน กท 3554  สงขลา จอดขวางถนน มีรถชนบริเวณข้างรถ และทราบว่ามีคนร้ายอีก 1 คนขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน ไม่ทราบทะเบียน สามารถขี่หลบหนีไปได้
    จากการสอบสวนทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสายสืบนอกเครื่องแบบ จำนวน 10 นาย รถยนต์ 2 คัน ได้ออกลาดตระเวนหาข่าวหลังจากทราบว่ามีกลุ่มคนร้ายไม่ทราบกลุ่มเคลื่อนไหวในพื้นที่ดังกล่าว เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ได้เห็นกลุ่มคนร้าย 3 คน รถจักรยานยนต์ 2 คัน นั่งคุยกันบนสะพาน แต่ทั้งสามไหวตัวทัน จึงได้ติดเครื่องเพื่อหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้รถยนต์ขวาง ทำให้รถ จยย.คนร้ายชนรถเจ้าหน้าที่ล้มลง จากนั้นคนร้าย 2 คนได้วิ่งหนีเข้าป่าสวนยาง พร้อมใช้อาวุธปืนสั้น กระหน่ำยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเกิดปะทะกัน   ประมาณ 10 นาที ทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 3 นาย และคนร้ายถูกวิสามัญ 2 รายดังกล่าว ส่วนคนร้ายอีก 1 ราย  ช่วงชุลมุนได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปได้
    สำหรับคนร้ายทั้ง 2 คนมีประวัติคดีความมั่นคงหลายคดี โดยเฉพาะนายอับดุลเลาะห์ มีหมายจับ ป.วิอาญา 2 หมาย คือ หมาย ป.วิ อาญา ที่ จ.470/59 ลง 23 ธ.ค.59, หมาย ป.วิ อาญา ที่ จ.12/60 ลง 2 ม.ค.60 มีส่วนเกี่ยวข้องลอบวางระเบิดที่หน้ามัสยิดกลางปัตตานีเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2559 ทำให้ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย  
    ส่วนจักรยานยนต์ของคนร้ายซึ่งพบในที่เกิดเหตุ พบว่าป้ายทะเบียนเป็นรถที่คนร้ายแย่งชิงจากเหตุยิงนายสุรเชษฐ์ วงศ์เอี่ยม เสียชีวิต พื้นที่ ม.2 ต.ตาลรีอาย อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เมื่อ 29 ม.ค.61
    ขณะที่คนร้ายที่หลบหนีอีก 1 คน จากรูปพรรณสัณฐาน เป็นคนร้ายอยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยเจ้าหน้าที่ได้ปิดล้อมที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งติดตามไล่ล่า เชื่อว่าอาจจะได้รับบาดเจ็บด้วย ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบตามสถานีอนามัยและโรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบ ถ้ามีบุคคลมารักษาให้แจ้งเจ้าหน้าที่ด้วย
    พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผบ.หน่วยเฉพาะกิจ ปัตตานี  เผยว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปะทะกับคนร้ายนั้น  ประเด็นและสาเหตุที่ทำให้ฝ่ายคนร้ายมีการก่อเหตุในช่วงนี้ คิดว่าอยู่ในระหว่างวงรอบ ซึ่งปีที่ผ่านมา ของเดือนเมษายน ก็มีการเกิดเหตุระเบิดหลายจุดในช่วงนี้เหมือนกัน คิดว่าน่าจะเป็นวงรอบที่เขาต้องการแสดงสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง แต่เรายังไม่รู้ว่าคืออะไร
    วันเดียวกัน ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พ.อ.ธนาวีร์ สุวรรณรัตน์ รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า แถลงข่าวถึงเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดในพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จำนวน 3 จุด เมื่อวันจันทร์ ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 10 ราย
         จากกรณีเหตุการณ์ดังกล่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอเป็นกำลังใจให้กับญาติและครอบครัวของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก ซึ่งทางหน่วยที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการช่วยเหลือเรื่องการรักษาพยาบาลและเยียวยาตามระเบียบต่อไป
        ด้านแม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการเน้นย้ำให้หน่วยในพื้นที่เข้าควบคุมสถานการณ์ และบริหารจัดการสถานที่เกิดเหตุตามขั้นตอนของแผนรักษาความปลอดภัย รวมทั้งให้ทำการรวบรวมวัตถุพยานและสำรวจภาพจากกล้องวงจรปิดทุกจุด เพื่อเป็นหลักฐานในการติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษตามกระบวนการตามกฎหมายต่อไป.