'นักการเมืองที่เคยเป็นทหาร'


เพิ่มเพื่อน    

            ผมละงง!.............

          กะแค่นายกฯ ประยุทธ์บอก "ผมเป็นนักการเมือง"!

            แล้วทำไมจึงต้อง "ถอดรหัส-ตีความ" กันไปขนานใหญ่ก็ไม่ทราบ?

            บางเจ้า ถึงขนาดค้นปูมที่นายกฯ เคยปฏิเสธความเป็นนักการเมือง ถึง ๙ ครั้ง ๑๐ ครั้ง มายันหน้า

            ทำนอง "นายกฯ พูดจาไม่อยู่กะร่อง-กะรอย"!

            ก็อยากบอก ถ้าอ่านให้ครบถ้วนใจความ คือไม่ตัดทอน-ไม่กระเดียดเอาเฉพาะคำ "ผมเป็น-ผมไม่เป็น"

            จะ "ไม่งง" เลย!

            เพราะการปฏิเสธหรือการยอมรับ "ความเป็นนักการเมือง" ของนายกฯ แต่ละครั้ง

            ท่านแสดงเหตุผล เป็น "ที่มา-ที่ไป" ของการปฏิเสธและยอมรับทุกครั้ง

            อย่างพูดล่าสุด ๓ มกรา ๖๑

            ที่ทำเอาบรรดา "นักเลือกตั้ง" น้ำลายแตกฟองไปตามๆ กัน กับประโยค ว่า.........

          “วันนี้ผมต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร มันก็ติดนิสัยทหารอยู่บ้าง”

          นี่เป็น "เวอร์ชันล่าสุด" ในปี ๖๑ 

            ทีนี้ ลองย้อนไปฟัง "เวอร์ชันแรกสุด" เมื่อปี ๕๗ เป็นการเปรียบเทียบดูบ้าง

            "๓ ธ.ค. ๕๗" นายกฯ เผด็จการทหารพูดว่า.........

          "สื่อมวลชนกับนักการเมืองเป็นศัตรูกัน แต่ผม 'ไม่ใช่นักการเมือง' เป็นนักการทหาร ถึงเป็นนายกฯ  ก็เข้ามาทำเพื่อคนไทย”

            ถ้าดูแบบ "จับผิด-จับถูก" ก็ต้องบอกว่า

            "นายกฯ พลิกลิ้น.........

             ตอนแรกบอก 'ผมเป็นทหาร ไม่ใช่นักการเมือง' แต่ตอนนี้ กลับมาบอก 'ผมไม่ใช่ทหาร ผมเป็นนักการเมือง' กะล่อน เชื่อไม่ได้"!

            แต่ถ้าดูใจความที่นายกฯ พูดทั้งหมด อย่าเจาะเอาเฉพาะคำ "ผมเป็น-ผมไม่เป็น" เป็นบทสรุป

            จะต้องไม่พูดว่า นายกฯ กะล่อน เชื่อไม่ได้!

            นอกจากไม่พูดเช่นนั้นแล้ว ยังจะทำให้ได้รับรู้ "สถานการณ์บ้านเมือง" ในขณะนั้น จากคำพูดนายกฯ ตอนนั้นด้วยว่า

            บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ไหนแล้ว เวลานั้น?

            อย่างที่พูด ๓ ธ.ค.๕๗ ตอนนั้น บ้านเมืองเพิ่งเปลี่ยนอำนาจจาก "รัฐบาลเลือกตั้ง" ไปเป็น "รัฐบาลเผด็จการทหาร"

            รัฐประหารเมื่อ ๒๒ พ.ค.๕๗

            ถ้าย้อนไปอ่านแถลงการณ์ จะพบข้อความตอนหนึ่ง ว่า

            "...........คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย กองทัพบก กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องเข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ.........."

            คสช.คือทหาร เข้า "ควบคุมอำนาจปกครองประเทศ"

            ไม่ใช่ทหารเข้า "ยึดอำนาจรัฐบาล"!?

            เพราะตอนนั้น บ้านเมืองไม่มีรัฐบาลบริหารประเทศแล้ว เนื่องจาก "น.ส.ยิ่งลักษณ์".............

            ถูก "ศาลรัฐธรรมนูญ" วินิจฉัยให้สิ้นสถานภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี

            กรณีย้าย "นายถวิล เปลี่ยนศรี" เลขาฯ สมช.ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ เพื่อให้ตำแหน่งเลขาฯ สมช.ว่าง

            แล้วโอนย้าย "พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี" ผบ.ตร.ขณะนั้น มาเป็นแทน

            ที่ทำเช่นนั้น เพื่อให้ตำแหน่ง ผบ.ตร.ว่าง.........

            แล้วย้าย "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" รอง ผบ.ตร.ที่กำลังจะเกษียณ ซึ่งเป็นพี่ชาย "คุณหญิงอ้อ" เมียทักษิณ ขึ้นเป็น ผบ.ตร.แทน

            เนี่ย...ที่มา-ที่ไป ระโยง-ระยางมาดังนี้

            และสมาชิกวุฒิสภา ร้องให้ศาลพิจารณาถึงสถานภาพความเป็นรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์

            ๗ พฤษภา ๕๗ มีคำวินิจฉัย ว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย.......

          "ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้สถานะการเป็นนายกรัฐมนตรี เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ผู้อื่น พรรคการเมือง

          ต้องด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 (2) (3) และมาตรา 268

          มีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว

          รวมถึงรัฐมนตรีที่ร่วมมีมติดังกล่าวในวันที่ 6 กันยายน 2554 ถือว่ามีส่วนร่วมในการก้าวก่ายแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการด้วย"

          เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ "สิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว" ทำให้ยิ่งลักษณ์ต้องพ้นจากเก้าอี้ "รักษาการ" นายกฯ ตอนนั้นไปด้วย

            จึงเกิดสุญญากาศทางการเมือง ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่คณะทหารต้องเข้าควบคุมอำนาจปกครองประเทศ

            เพราะจะปล่อยให้ประเทศชาติ "ขาดรัฐบาลบริหาร" ไม่ได้!

            เมื่อเป็นเช่นนี้.........

            เมื่อคณะทหารเข้ามาควบคุมอำนาจปกครองประเทศ ตามสูตรก็คือ ต้อง "ฉีกรัฐธรรมนูญ" ทิ้ง!

            แล้วบ้านเมืองที่ "ไม่มีรัฐธรรมนูญ" เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

            มี "อำนาจเผด็จการทหาร" เป็นกฎหมายสูงสุดแทน โดย "พลเอกประยุทธ์" เป็น "องค์รัฏฐาธิปัตย์"

            ด้วยเหตุผลนั้น สถานการณ์ขณะนั้น "๓ สถาบันอำนาจ" รวมศูนย์อยู่ที่ทหาร "ชื่อประยุทธ์"

            แล้วจะให้พลเอกประยุทธ์บอกในตอนนั้นว่า

            "ผมไม่ใช่ทหาร.......

            ผมเป็นนักการเมือง"

            คนทั้งโลก ฟังแล้วจะไม่ฮาครืนหรือว่า "ไอ้เผด็จการคนนี้ ท่ามันจะบ๊อง"!?

            เนี่ย...เรามัก "ทึกทักตายตัว" กันแบบไม่ใคร่ครวญเพื่อรับรู้ที่เป็นจริงตามเหตุปัจจัย

            การทึกทักแบบนี้..........

            นำไปสู่ทัศนคติเบี่ยงเบนสร้างความเข้าใจผิดต่อสถานการณ์และเรื่องราว มีผลเสียทั้งต่อบุคคลและสังคมรวมมากต่อมาก!

            เหมือนในคนคนเดียว เขากินข้าวแล้ว เราไปถามเขาตอนเช้าว่า "หิวข้าวมั้ย?"

            "ไม่หิว" คือคำตอบเขา

            ตกเที่ยง-ตกบ่าย มีคนไปถามเขาใหม่ "หิวข้าวมั้ย?" เขาตอบ "หิว"!?

            เราได้ยินก็ต่อว่า..."อ้าว ไหนบอกว่าไม่หิว แล้วตอนนี้มาบอกหิว โกหกนี่หว่า"

            นี่แหละ ที่จับคำพูด "ผมเป็น-ผมไม่เป็น" นักการเมืองของนายกฯ ประยุทธ์มาเค้น-มาคั้นกันตอนนี้

            มันก็ "เข้าลักษณะนี้"!

            คือ "ต่างกรรม-ต่างวาระ-ต่างสถานการณ์-ต่างเงื่อนไข" มนุษย์ที่ไม่ใช่ประเภท "หัวลูกเต๋า" ย่อมเข้าใจ

            พระพุทธองค์ตรัสสอน ว่า............

            "จงหมุนไปตามโลก แต่อย่าติดอยู่ในโลก"! 

            เปลี่ยนแปลง-พลิกแพลง คือการพิจารณาไปตามความเป็นจริงในแต่ละสถานการณ์ คือการหมุนตามโลก

            การทึกทักตายตัวประเภท "หัวลูกเต๋า" ยึดมั่น-ถือมั่นด้วยอุปาทาน คือการติดอยู่ในโลก

            ดาบน่ะ "ในเพลงเดียว" มันประกอบด้วยร้อยยักเยื้อง-พันเปลี่ยนแปลงในกระบวนท่า

            ถ้าเพลงเดียว กระบวนท่าเดียว นั่นใช้สำหรับผ่าฟืน อย่าคิดไปลงสนามใดๆ เลย ไม่ว่าการเมืองหรือการมุ้ง

            ทีนี้มาดู ที่นายกฯ พูดเมื่อ ๓ มกรา ๖๑

          “วันนี้ผมต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร มันก็ติดนิสัยทหารอยู่บ้าง”

          "ผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร"

            ก็จริงตามที่พูด.............

            ท่านก็บอกชัด "วันนี้ ผมต้องเปลี่ยนแปลง"

          คือเปลี่ยนแปลงจากที่เคยบอกว่า "ผมไม่ใช่นักการเมือง ผมเป็นทหาร" มาเป็น "ผมไม่ใช่ทหาร  เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร"

            นี่คือการหมุนไปตามโลก-ตามสถานการณ์เป็นจริง ที่เรียกวิวัฒนาการ

            ก็ตอนนี้ ประเทศมี "รัฐธรรมนูญ" เหนืออำนาจ "องค์รัฏฐาธิปัตย์" แล้ว

            กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกฎหมายลูกเพื่อการเลือกตั้ง ๒ ใน ๔ ฉบับ ประกาศใช้แล้ว ๒ ฉบับ

            เงื่อนไขเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ภายในเวลา ๑๙ เดือน นับจากวันประกาศใช้ "๖ เมษา ๖๐"

            ในเดือนตุลา ๖๑ ที่จะถึงนี้ การเลือกตั้งผู้แทนราษฎร "ต้องแล้วเสร็จ"

            เรียกว่า รัฐบาลเผด็จการทหาร ตั้งท้อง "ประชาธิปไตย ระบบเลือกตั้ง" จะคลอดในตุลาจะถึงนี่แล้ว

            ถ้าพลเอกประยุทธ์ยังบอกว่า "ผมเป็นทหาร ไม่ใช่นักการเมือง"

            ก็แปลว่า "กรวดน้ำ-คว่ำขัน" ทันที เมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง

            แต่เมื่อบอกว่า "ผมไม่ใช่ทหาร เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร"

            ก็ตรงตัวว่า...........สู้โวย!

            คำว่า "นักการเมืองที่เคยเป็นทหาร" แปลว่า การเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งของประยุทธ์ จะมี

            ๑.พรรค ๒.พวก และ ๓.ทหาร!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"