เสวนากับทูตจีนว่าด้วย โควิด, ความยากจนและสงครามเย็น


เพิ่มเพื่อน    

    ได้ตั้งวงคุยกับรักษาการเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยหยางซิน ก็ต้องถามไถ่เรื่องการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ หรือ NCP เมื่อเดือนที่ผ่านมา
    ต้องถามด้วยว่าเศรษฐกิจของจีนจะถูกกระทบหนักเพียงใด โดยโควิด-19 และมีแผนรองรับอย่างไร ท่านทูตหยางซินบอกว่า ทางการจีนไม่ตั้งเป้าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับปีนี้ เพราะความไม่แน่นอนสูง
    แต่เป้าหมายการแก้ปัญหาความยากจนให้หมดไปภายในปีนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง
    ผมถามว่าจะเกิด “สงครามเย็นรอบใหม่” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนไหม
    ท่านทูตบอกว่า “มีคนพูดเรื่องสงครามเย็นรอบใหม่กันมาก แต่สำหรับประเทศจีนแล้วไม่อยากให้เกิดสงครามเย็นอีกรอบหนึ่ง เราถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีความสำคัญมาก...”
    สหรัฐฯ ถือว่าเป็น “มหาอำนาจ” แต่ท่านทูตบอกว่า “เราไม่อยากใช้คำนี้ (มหาอำนาจ) กับจีน
    “เราอาจเป็นมหา...แต่ยังไม่มีอำนาจ เพราะเรายังเป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่” ท่านทูตหยางซินบอก
    จีนยังมีเป้าหมายขจัดความยากจนให้แล้วเสร็จภายในปีนี้
    ท่านทูตบอกว่าทุกวันนี้จีนยังมีคนยากจน นายกฯ หลี่ เค่อเฉียง ได้แจ้งว่าคนจีนที่มีรายได้เพียง 1,000 หยวนต่อเดือน หรือเท่ากับประมาณ 5,000 บาทต่อเดือน ถึง 60 ล้านคน
    “ดังนั้นเรายังต้องแก้ไขปัญหาความยากจนตามมาตรฐานจีน ซึ่งใกล้ๆ กับมาตรฐานโลก เพราะไม่ใช่ว่าคนจีนร่ำรวยทุกคน รัฐบาลจีนยังมีเป้าหมายให้คนจีนทุกคนใช้ชีวิตที่ดีกว่าปัจจุบัน นั่นหมายความว่าเราต้องการมีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ที่ราบรื่น”
    จีนตระหนักว่าจีนกับสหรัฐฯ ต่างก็เป็นประเทศใหญ่ ซึ่งมีประวัติและวัฒนธรรมต่างกัน และมีระบบการปกครองต่างกัน 
    “หากมองจากความสัมพันธ์ที่ยาวนานมา 40 กว่าปี เราก็มีทั้งประสบการณ์และบทเรียน และนั่นก็คือความร่วมมือจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ...”
    ท่านทูตบอกว่าถ้าเกิดการปะทะหรือมีความขัดแย้งกันก็จะเกิดความสูญเสียทั้งสองประเทศ
    “เราจึงเน้นมาตลอดว่าทั้งสองประเทศต้องร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศและประเทศอื่นๆ ถ้าจีนกับสหรัฐฯ มีความขัดแย้งกันจะทำให้ประเทศอื่นลำบาก...”
    ท่านทูตย้ำว่า “จีนมีความเห็นใจมิตรประเทศ อย่างเช่นประเทศไทยก็อาจต้องเลือกข้าง แต่เราไม่อยากให้เพื่อนเราเช่นประเทศไทยต้องลำบากใจ (เพราะต้องเลือกข้าง)”
    ถามว่าจีนมีความมั่นใจอย่างไรจึงกล้าประกาศว่าประเทศจีนมีเป้าหมายที่จะไม่มีคนจนอีกต่อไป
    ท่านทูตตอบ : “เรื่องการขจัดความยากจนนั้นเราใช้มาตรฐานของเราที่รายได้ 2,300 หยวนจีนต่อปี มาตรฐานของธนาคารโลกคือ 1.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อวัน ก็ใกล้เคียงกัน เราถือว่าถ้าต่ำกว่านี้ก็อยู่ในเกณฑ์ยากจน...”
    จีนมีความมั่นใจว่าหลังจากมีการพัฒนาเศรษฐกิจมา 40 กว่าปีแล้ว ก็พอมีกำลังช่วยให้ประชาชนทั้งประเทศพ้นจากความยากลำบาก
    “เริ่มแรกต้องอยู่ได้กินอิ่มท้อง แต่ถ้าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านั้นเราต้องใช้ความพยายามต่อไป แม้ว่า GDP ของจีนจะสูงเป็นอันดับสองของโลก แต่เฉลี่ยต่อหัวเรายังห่างไกล”
    แต่เมื่อเจอโควิด-19 รัฐบาลจีนต้องปรับแผนนี่ไหม
    ท่านทูตบอกว่าเป้าหมายยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังต้องแก้ปัญหายากจนให้แล้วเสร็จในปีนี้
    ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาความยากจนของจีนใช้สูตร “ครบถ้วน” โดยระดมสรรพกำลังทั่วประเทศ
    “หนึ่งในวิธีการคือ จับคู่มณฑลที่พัฒนาแล้วทางตะวันออกกับมณฑลที่กำลังพัฒนา และยังยากจนอยู่ทางตะวันตก และให้กระทรวงของรัฐบาลกลางเกือบทุกกระทรวงไปรับผิดชอบช่วยเหลืออำเภอหนึ่งหรือมณฑลหนึ่ง”
    ท่านทูตเล่าว่า “ตัวอย่างเช่นกระทรวงต่างประเทศที่ผมสังกัดมีหน้าที่ช่วยเหลือ 2 อำเภอในมณฑลหยุนหนาน เป็นต้น”
    ที่สำคัญคือการจะต้อง “สอนให้คนตกปลา ไม่ใช่แจกปลาให้กินเฉยๆ”
    เรื่องอย่างนี้ทุกรัฐบาลในโลกรู้ ความแตกต่างอยู่ที่ว่ารัฐบาลไหนจะลงมือทำจริงๆ จังๆ เท่านั้น.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"