แฟ้มภาพ

5 มิ.ย.63 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณปี 63 ได้ห้เกิดความขัดแย้งขึ้นในพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยล่าสุด นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร  หรือ "โจ้" ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ได้ส่งข้อความถึง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในไลน์กลุ่มพรรคเพื่อไทย มีเนื้อหาดังนี้

"ในฐานะที่เป็น ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรค ขอถามว่า ส.ส.สอบได้ที่ประชาชนเลือกมา ไม่มีความรู้และความสามารถพอที่จะเป็นกรรมาธิการวิสามัญเกี่ยวกับงบฯ ได้บ้างหรือ การตั้งกรรมาธิการวิสามัญงบฯ ครั้งนี้ ไม่ได้มีการประชุม ส.ส.พรรค และไม่ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เพราะตนเป็นรองหัวหน้าพรรค ถ้ามีประชุมจริงตนต้องได้รับแจ้ง และต้องโปร่งใส ผ่านที่ประชุมใหญ่ และเป็นมติของที่ประชุม ส.ส.พรรค ไม่ใช่ทำกันแบบลับๆ ล่อๆ แบบนี้สื่อมวลชน และประชาชน ถึงบอกว่า พรรคตกต่ำลงเรื่อยๆ ขอถามเลขาธิการพรรคฯ ว่า ทำไมพรรคถึงสั่งให้งดการประชุมพรรค ทั้งๆ ที่ประธานวิปฝ่ายค้านได้นัดหมายให้มีการประชุมพรรค ในวันอังคารที่ 2 มิ.ย."

ทำให้ น.อ.อนุดิษฐ์ ต้องชี้แจงว่า "การตั้งกรรมาธิการโอนงบฯ พรรคเพื่อไทยได้สิทธิ์ทั้งสิ้น 10 คน ในครั้งนี้มีการตั้งตามที่แต่ละภาคส่งชื่อมา ภาคอีสาน 5 ท่าน ภาคเหนือ 1 ท่าน ภาคกลาง 1 ท่าน ภาค กทม.1 ท่าน และส่วนกลาง 2 ท่าน โดยกรรมาธิการในสัดส่วนของภาคเป็น ส.ส.สอบได้ทั้งหมด เมื่อแต่ละภาคได้รับทราบจำนวนกรรมาธิการ ก็จะไปดำเนินการกันเองในแต่ละภาค

ส่วนการเลื่อนประชุมพรรคในสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดจากการที่ท่าน ส.ส.ส่วนใหญ่ หารือกับท่านหัวหน้าพรรคว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ติดต่อกันมา 5 วัน หากกลับพื้นที่วันจันทร์ และกลับมาประชุมในวันอังคาร จากนั้นวันพุธก็เป็นวันหยุด วันพฤหัสก็กลับมาประชุมอีก ก็จะไม่สามารถจัดการภารกิจของแต่ละท่านได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง จึงขอกลับพื้นที่ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ก็เห็นชอบ ท่านหัวหน้าพรรคจึงสั่งการให้งดการประชุม"

สำหรับนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร  หรือ "โจ้" ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคเพื่อไทย ตั้งให้เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล  

แต่ในการอภิปรายพรก.กู้เงิน 3 ฉบับไม่กี่วันที่ผ่านมา "โจ้" อภิปรายอย่างราบเรียบไม่ดุดันเหมือนครั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จนมีกระแสพูดถึงในแวดวงส.ส.ว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้านายยุทธพงศ์  อาจจะลงเลือกตั้งในนามพรรคการเมืองที่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย.