ในบรรดาพรรคพวกนายทหารที่ ท่านขุนน้อย เคยมีโอกาสสัมผัสแบบใกล้ชิด ติดพัน อยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นรุ่นของท่าน พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกลาโหม ผู้ซึ่งเกษียณอายุราชการหลายปีมาแล้วนั่นแหละ ถือเป็นรุ่นสุดท้าย หรือสิทธิชนยุคสุดท้าย เพราะรุ่นที่เคยสัมผัสก่อนหน้านั้น มักออกไปทางประเภททหารแก่ไม่เคยตาย หรือทหารแก่ตายไปแล้ว ซะเป็นส่วนใหญ่...
--------------------------------------------------
และช่วงที่เคยสัมผัส หรือช่วงที่ติดพันระหว่างกันและกันนั้น พลเอกนิพัทธ์ ท่านก็ยังอยู่ในระดับแค่ พันเอก แต่หลังจากนั้นหรือหลังจากที่เป็น พลเอก แล้ว อาจพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง หรืออาจห่างๆ กันไปตามสภาพ ก็เลยไม่มีโอกาสได้ถามไถ่ สารทุกข์สุกดิบใดๆ กับท่านเอาเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ตั้งจิตอธิษฐาน ภาวนาอยู่ห่างๆ ขอให้ท่านอยู่รอดปลอดภัย พ้นเขี้ยวเล็บ เขี้ยวงา พ้นพงหนาม ไปจากภาวะแวดล้อมอันเต็มไปด้วยอำนาจ หน้าที่ ที่ต้องตามมาด้วย ความรับผิดชอบ อย่างมิอาจปฏิเสธ แต่ด้วยความมั่นอก มั่นใจ จากเท่าที่เคยใกล้ชิด ติดพันกันมา ถึงความเป็น คนเก่ง และ คนดี จึงไม่ถึงกับห่วงหา อาลัยอาวรณ์ ท่านมากมายเกินไปนัก...
--------------------------------------------------
แม้ว่าบางครั้ง บางครา...ท่านอาจเลือกสายที่ไม่ถึงกับถูกร่อง ถูกสเปก คือประเภทออกไปทาง สายมติชน อะไรประมาณนั้น ออกไปทางเรื่อๆ ชมพูๆ แต่ด้วยความเป็น คนเก่ง และ คนดี อย่างที่ว่าเอาไว้นั่นแหละ เลยคิดว่า...ยังไงๆ ท่านคงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ อยู่แล้วแน่ๆ หรือถึงแม้กำไรลดลง แต่ก็ยังไม่ถึงกับขาดทุนอย่าง มติชน เขานั่นเอง ยิ่งได้มีโอกาสได้อ่านข้อเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต ในประวัติศาสตร์ ที่ พลเอกนิพัทธ์ ท่านอุตส่าห์ลงทุน ลงแรง ค้นคว้ามาตีพิมพ์ เผยแพร่ ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ชนิดทั้งสนุกสนาน เมามันซ์ซ์ซ์ ได้ความรู้ จนต้องตามติด ตามอ่าน พอๆ กับติดยาเสพติด เอาเลยถึงขั้นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยน่าจะเข้าร่อง เข้าทาง ไม่มีอะไรต้องห่วง ต้องกังวล ต่อไปอีกแล้ว...
-------------------------------------------------------
แต่เผอิญวัน-สองวันที่ผ่านมา...ก็ดันมีข่าวคราวที่เกี่ยวพัน พัวพัน ถึงอดีตทหารรายนี้ ให้ต้องอดห่วง อดกังวล ในฐานะที่เคยเป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงขึ้นมาอีกจนได้ ด้วยเหตุเพราะท่านคิดไปเป็นอาสาสมัคร เป็นคณะกรรมการ กสม. หรือกรรมการสิทธิมนุษยชนอันเนื่องมาจากดีกว่าอยู่ว่างๆ หรือดีกว่าอยู่เปล่าๆ หรืออันเนื่องมาจากเหตุผล กลใด ก็แล้วแต่ โดยตาม ข่าวล่า-มาเรือ ที่พอเป็นที่รับรู้ รับทราบ กันไปบ้างแล้ว ก็คือ...ท่านโดน ตีตก ไปตั้งแต่ยกแรก หรือถูกคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งประชุมไปเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สรุปว่า ขาดคุณสมบัติ ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการ กสม. ด้วยเหตุเพราะเคยได้รับแต่งตั้งให้เป็น สมาชิก สนช. และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาไม่ถึง 10 ปี ขัดกับตัวบทกฎหมายที่ห้ามไม่ให้ผู้ที่พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. หรือ ส.ว. ไม่เกิน 10 ปี เข้าดำรงตำแหน่งที่ว่านี้โดยเด็ดขาด...
-------------------------------------------------------
แต่ในขณะที่อดีตทหาร และอดีต สนช.อย่าง พลเอกนิพัทธ์ ถูกคณะกรรมการสรรหา กสม. ตีตกไปตั้งแต่ยกแรก ด้วยเหตุผลดังกล่าว ถ้าว่ากันตามข่าวคราวที่คอลัมน์ เจาะประเด็นร้อน ของเว็บไซต์ คม-ชัด-ลึก เขาไปขุดวิเคราะห์ เจาะลึก มาให้เห็นกันจะจะ ปรากฏว่าภายใต้ข้อห้ามของกฎหมายฉบับเดียวกันนี้ คณะกรรมการอีกคณะ คือคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับหันไปอุปถัมภก ยอยก ให้อดีตผู้พิพากษาศาลแพ่งรายหนึ่ง ที่เคยเป็น สมาชิก สนช. แบบเดียว และช่วงเดียวกับ พลเอกนิพัทธ์ นี่แหละ สามารถอาสาสมัครเข้ามาเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้แบบไหลลื่นเอามากๆ แถมวุฒิสภายังโหวตให้ความเห็นชอบแบบท่วมท้น ท่วมทุ่ง ไปซะอีกต่างหาก...
------------------------------------------------------
อันนี้...มันก็เลยก่อให้เกิด ปัญหา ขึ้นมาว่า ภายใต้ข้อห้ามของกฎหมายฉบับเดียวกัน ทำไม คณะกรรมการสรรหา กสม. กับ คณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. ซึ่งคงหนีไม่พ้นที่ต้อง ตั้งมากับมือ ของผู้ซึ่งมีอำนาจในรัฐบาลนั่นแหละ ถึงได้มีมาตรฐานต่างกัน หรือถึงได้มี สองมาตรฐาน จนทำให้อะไรต่อมิอะไรมันชักจะ ไม่มีมาตรฐาน ยิ่งเข้าไปทุกที คือถ้าหากเป็นเพราะ พลเอกนิพัทธ์ ท่านไม่ค่อยเข้าร่อง เข้าสเปก ก็น่าจะถีบทิ้ง หรือตีตก ด้วยมาตรฐานอื่นๆ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมาตรฐานทางกฎหมาย เช่น อาจหันไปใช้มาตรฐานทางการเมือง แบบที่ใช้กับพวก 2 กุมาร หรือ 4 กุมารของพรรคพลังประชารัฐ ด้วยการกระทำ หัตถการ ตั้งแต่ช่วงต่ำกว่าเอวลงไป หรือหันไป บีบไข่ กันซึ่งๆ หน้า น่าจะเข้าท่ากว่า...
----------------------------------------------------------
เพราะการที่คณะกรรมการสรรหา ที่ต้องถือเป็นเครือข่ายผู้ใกล้ชิด พัวพัน กับรัฐบาล ไม่ว่าทางหนึ่งก็ทางใด แสดงออกถึงความไม่มีมาตรฐาน หรือสองมาตรฐานก็แล้วแต่ ทำให้ ความห่วงใยในทางส่วนตัว ต่อพรรคพวกเพื่อนฝูง กลับกลายเป็น ความห่วงใยในทางส่วนรวม ซะมากกว่า คืออดไม่ได้ที่จะรู้สึก ห่วงบ้าน-ห่วงเมือง ยิ่งเข้าไปทุกที เพราะสำหรับพรรคพวกเพื่อนฝูงนั้น ไม่ว่าจะเหลือง จะแดง แต่ลองขึ้นชื่อว่า เพื่อน แล้วล่ะก็ ยังไงๆ คงพอพูดจากันได้มั่ง แต่สำหรับชาติ-บ้านเมืองแล้ว ถ้าดันขาดมาตรฐาน ขาดสายใยเชื่อมโยงผูกพันกันบนพื้นฐานความถูกต้องและยุติธรรม โอกาสที่จะพูดจา ว่ากล่าว กันในฐานะเพื่อนร่วมแผ่นดิน หรือเพื่อนร่วมวัฏสงสารก็ตาม ยิ่งน่าจะยากซ์ซ์ซ์ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Confucius (อีกครั้ง)... “For good, return good; for evil, Justice. – จงตอบแทนความดีด้วยความดี และความชั่วด้วยความยุติธรรม...”
--------------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |