โป๊ปตรัสประณาม เหตุรุนแรงสหรัฐ ทรัมป์ดี๊ด๊าเอาอยู่


เพิ่มเพื่อน    


    ชาวอเมริกันยังชุมนุมประท้วงฝ่าฝืนเคอร์ฟิวในอีกหลายเมืองเป็นคืนที่ 8 แต่ลดความรุนแรงลง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปลื้มใช้กำลังเจ้าหน้าที่คุมกรุงวอชิงตันให้เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดบนผืนปฐพี "โป๊ปฟรานซิส" ตรัสประณามความรุนแรง แต่ย้ำการเหยียดสีผิวเป็นสิ่งที่ทนรับไม่ได้ 
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์วุ่นวายภายในสหรัฐอเมริกา ที่เกิดการประท้วงก่อจลาจลจากความโกรธแค้นประเด็นการเหยียดสีผิว ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชายอเมริกันผิวดำ เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 เหตุการณ์รุนแรงจากการก่อความไม่สงบ ปล้นสะดม วางเพลิง ทำให้หลายสิบเมืองทั่วสหรัฐอเมริกาประกาศเคอร์ฟิว แต่ยังคงมีผู้ประท้วงฝ่าฝืน
    เมื่อคืนวันอังคารซึ่งเป็นคืนที่ 8 ผู้คนหลายหมื่นคนยังออกมาชุมนุมตามท้องถนนในเมืองต่างๆ  ตั้งแต่ฝั่งตะวันออกเรื่อยไปถึงฝั่งตะวันตก ที่ลอสแองเจลีส, ฟิลาเดลเฟีย, แอตแลนตา, เดนเวอร์ และซีแอตเติลยังมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก ส่วนที่เมืองมินนิแอโพลิสที่ตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดคอฟลอยด์นานเกือบ 9 นาทีและทำให้เขาขาดอากาศหายใจ การชุมนุมค่อนข้างสงบ แต่ยังมีรายงานว่าตำรวจยิงแก๊สน้ำตาขับไล่ผู้ประท้วงที่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวในหลายเมืองและจับกุมไว้จำนวนมาก เช่นที่นิวยอร์กซึ่งประกาศเคอร์ฟิวครั้งแรกนับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยขยายเวลาไปถึงวันที่ 7 มิถุนายน มีคนถูกจับกุมเมื่อคืนวันอังคารอีกราว 200 ราย แต่ช่วงเช้ามืดวันพุธสถานการณ์ค่อนข้างสงบ ที่ลอสแองเจลีสก็มีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวโดนจับกุมหลายราย แต่ถึงช่วงค่ำเหตุการณ์สงบลงและสื่อโทรทัศน์กลับไปเสนอรายการปกติแทนการเกาะติดข่าวประท้วง
    มีรายงานความรุนแรงประปรายที่กรุงวอชิงตันและเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน ที่ผู้ประท้วงปาประทัดและขวดน้ำตอบโต้ตำรวจที่ยิงแก๊สน้ำตาและระเบิดแสง
    ที่เมืองฮุสตัน รัฐเทกซัส เมืองที่ฟลอยด์เติบโต ผู้คนราว 60,000 คนมาร่วมพิธีรำลึกการตายของเขา  นายกเทศมนตรีซิลเวสเตอร์ เทอร์เนอร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันของครอบครัวจอร์จ ฟลอยด์ พวกเราอยากให้พวกเขารู้ว่าจอร์จไม่ได้ตายเปล่า
    ทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาประกาศวันเดียวกันว่า รัฐได้เปิดการสอบสวนด้านสิทธิพลเมืองต่อกรมตำรวจมินนิแอโพลิส เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติที่แบ่งแยกเชื้อชาติอย่างเป็นระบบมายาวนาน 10 ปี
    อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็เรียกร้องให้มีการสอบสวน "ความล้มเหลวอันน่าเศร้า" และฟังเสียงของผู้คนจำนวนมากที่กำลังเจ็บปวดและเศร้าโศก
     กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ผู้คนนับหมื่นกลับมาเดินขบวนรณรงค์ "ชีวิตคนดำมีความสำคัญ" อย่างสันติเมื่อวันอังคาร ผู้ประท้วงรวมตัวด้านนอกอาคารรัฐสภาในช่วงบ่ายร้องตะโกนว่า "ความเงียบคือความรุนแรง" และ "ไม่มีความยุติธรรม ไม่มีสันติสุข" การชุมนุมใกล้กับทำเนียบขาวหลายชั่วโมงหลังเคอร์ฟิวเวลา 19.00 น. ผู้ประท้วงยังคงชุมนุมร้องตะโกนโดยเนชันแนลการ์ดยืนมองและมีเฮลิคอปเตอร์หลายลำบินวน ภาพข่าวทีวีเผยให้เห็นตำรวจยิงแก๊สน้ำตาขับไล่ผู้ประท้วงหลังเวลาเที่ยงคืน แต่สถานการณ์โดยรวมถือว่าสงบกว่าวันก่อนๆ
    บริเวณเดียวกันนั้นเมื่อวันจันทร์ ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางขับไล่ผู้ประท้วงที่ชุมนุมอย่างสันติ เพื่อเปิดทางให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินจากทำเนียบขาวไปถ่ายรูปที่โบสถ์เซนต์จอห์น ซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกผู้ชุมนุมวางเพลิงและพ่นสีข้อความเปรอะเปื้อน การจัดฉากให้ทรัมป์ยืนถือคัมภีร์ไบเบิลถ่ายรูปคู่กับโบสถ์นี้เรียกเสียงประณามทั้งจากคริสตจักร, ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและคนในสังคมทั่วไป 
     เอเอฟพีกล่าวว่า ทรัมป์ทวีตแสดงความปีติยินดีต่อการรับมือของกรุงวอชิงตันที่ใช้กำลังที่ท่วมท้นเข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ "วอชิงตัน ดี.ซี.เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดบนผืนปฐพีเมื่อคืนที่ผ่านมา" และกล่าวหาผู้นำรัฐนิวยอร์กซึ่งเป็นเดโมแครตว่ายอมจำนนให้พวกคนเลวและคนชั้นต่ำ ผู้นำสหรัฐอเมริกายังตอบโต้เสียงวิจารณ์เรื่องการไล่ผู้ประท้วงเพื่อตนจะได้เดินไปถ่ายภาพที่โบสถ์ด้วยว่า พวกที่วิจารณ์เขานั้นคิดผิด ถ้าผู้ประท้วงมีความสันติจริง ทำไมพวกเขาจึงจุดไฟเผาโบสถ์เมื่อคืนวันอาทิตย์ "ผู้คนชอบการเดินของผม" 
    สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส องค์ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ทรงแสดงทัศนะเกี่ยวกับสถานการณ์ในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกเมื่อวันพุธ ทรงเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาสร้างความปรองดองในชาติ พร้อมตรัสว่าเราไม่อาจยอมทนหรือเมินเฉยต่อการเหยียดเชื้อชาติสีผิว แต่การใช้ความรุนแรงก็เป็นการทำลายและทำร้ายตนเอง.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"