เหตุการณ์ในรูปนี้คือสาเหตุของการก่อเหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมืองไปกว่า 20 เมืองทั่วอเมริกา
เหตุเริ่มที่เมืองมินนิแอโปลิสของรัฐมินนิโซตาอย่างน่าอนาถในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ตำรวจผิวขาวคนหนึ่งชื่อ Derek Chauvin ใช้เข่ายันต้นคอของชายผิวดำชื่อ George Floyd ที่ถูกสั่งให้นอนคว่ำและมือทั้งสองถูกใส่กุญแจมือไพล่หลัง..เป็นเวลานาน 8 นาทีเศษ
แม้เขาจะร้องเสียงหลงขอชีวิตเพราะหายใจไม่ออก แต่ก็ไม่ได้รับความเห็นใจแต่อย่างใด
จนที่สุดเสียชีวิต
ทั้งๆ ที่วิธีการที่เสี่ยงกับการทำให้ผู้ต้องสงสัยเสียชีวิตเพราะหายใจไม่ออกนั้นถูกห้ามใช้...ยกเว้นในกรณีที่เจ้าหน้าที่มีเหตุจะอ้างว่าชีวิตของตนถูกคุกคามโดยตรง
ในกรณีนี้ไม่ปรากฏว่ามีช่วงไหนที่ตำรวจจะอ้างได้ว่า ผู้ต้องสงสัยได้ทำอะไรที่คุกคามชีวิตเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด
เหตุการณ์ครั้งนี้...รวมถึงวิธีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศผ่านทวิตเตอร์ ว่าอาจจะส่งหน่วยปราบปรามพิเศษเข้ายิงทิ้งผู้ประท้วง...ทำให้เห็นชัดว่าสหรัฐฯ กำลังกลายเป็นประเทศโลกที่สามแล้ว
ผู้ประท้วงเผาโรงพักตำรวจที่เมืองนี้ ตามมาด้วยจลาจลไปทั้งเมือง
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มีเหตุประท้วงพฤติกรรมตำรวจต่อคนผิวดำกระจายไปกว่า 20 เมืองทั่วสหรัฐฯ
ทรัมป์ส่งข้อความยั่วยุ "When the looting starts, the shooting starts" อย่างนั้น ทวิตเตอร์ก็ใส่เครื่องหมายเตือนว่าทรัมป์ละเมิดกฎของการใช้ทวิตเตอร์
เพราะข้อความของประธานาธิบดี "ยกย่องความรุนแรง" (glorifies violence)
ก่อนหน้านี้หนึ่งวันทรัมป์มีปัญหากับทวิตเตอร์อยู่ก่อนแล้ว เพราะโซเชียลมีเดียแห่งนี้ขึ้นข้อความเตือน ขอให้คนอ่านได้ใช้วิธี fact-checking (ขอให้คนอ่านตรวจดูว่าจริงหรือเท็จ) ที่อ้างว่าการลงคะแนนเสียงผ่านไปรษณีย์มีการฉ้อโกงอย่างมโหฬารมาตลอด
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกกระมัง ที่ผู้นำประเทศถูกตั้งข้อสังเกตบนโซเชียลมีเดียว่าเอาข้อความที่เข้าข่ายเป็น "ข่าวปลอม" มาโพสต์
ทรัมป์โกรธถึงกับลงชื่อออก "คำสั่งบริหาร" ยกเลิกมาตราของกฎหมายที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของโซเชียลมีเดีย
ไม่แต่เท่านั้นทรัมป์ยังขู่จะ "ปิด" ทวิตเตอร์ หากยังมาตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำข้อความของเขา
ทรัมป์กล่าวหาทวิตเตอร์มีอคติ ยอมให้มีเนื้อหาโฆษณาชวนเชื่อของจีนและความเห็นโอนเอียงไปทางซ้าย แต่ไม่ยอมให้ความคิดเห็นของฝ่ายอนุรักษนิยมได้ปรากฏ
แต่ทวิตเตอร์ไม่หวั่นเกรงทรัมป์
ผ่านมาอีกหนึ่งวัน พอผู้นำประเทศขึ้นข้อความเรื่องความรุนแรงที่เมืองมินนิแอโปลิส ทวิตเตอร์ก็ "ซ่อน" ข้อความของทรัมป์...
การ "ซ่อน" หรือ Hide ข้อความใดเท่ากับเป็นการบอกกล่าวกับผู้ติดตามว่า มีเหตุอันพึงจะสงสัยว่าเนื้อหานั้นๆ สุ่มเสี่ยงกับการกระทำผิดกฎหมายหรือยั่วยุให้สังคมเกิดความสับสนวุ่นวาย
เหตุเพราะทรัมป์ขึ้นข้อความว่าจะส่งหน่วยติดอาวุธเข้าไปยิงทิ้งผู้ประท้วงหากมีการปล้นสะดมขึ้นมา โดยที่ไม่บอกว่าจะต้องมีการสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมายก่อน
สถานการณ์มีแต่ยิ่งจะเสื่อมทรุดลง เมื่อทีมข่าวของซีเอ็นเอ็นที่กำลังถ่ายทอดสดจากสถานที่เกิดเหตุความรุนแรงถูกตำรวจจับ
นักข่าวที่กำลังรายงานข่าวอยู่นั้นเป็นคนผิวดำเช่นกัน
จึงเกิดการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความลำเอียง เห็นคนผิวดำเป็นผู้ที่สมควรจะต้องถูกจัดการมากกว่าคนผิวขาว
ทรัมป์เจอวิกฤติพร้อมๆ กันหลายเรื่อง นอกจากเรื่องตำรวจผิวขาวกับผู้ต้องสงสัยผิวดำแล้ว ก็ยังมีเรื่องออกมาประกาศต่อต้านจีนอย่างหนักหน่วง
ทรัมป์ซัดจีนหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นเรื่องโควิด-19, องค์การอนามัยโลก, ฮ่องกง, ความขัดแย้งทางการค้า กล่าวหาว่าจีนขโมยความลับทางอุตสาหกรรมและการใช้เทคโนโลยีแทรกแซงประเทศอื่น
ทุกเรื่องที่ร้อนแรงอยู่ในอเมริกาล้วนเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวของทรัมป์ที่จะต้องสร้างภาพและหาแพะเพื่อจะได้ปัดวิกฤติให้พ้นตัว
เป้าหมายประการเดียวของทรัมป์คือ การชนะเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัยหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน
โดยไม่สนใจว่าแนวทางของตนจะสร้างความตึงเครียดและส่งผลเสียหายระดับโลกอย่างไร
ถึงขั้นที่ดึงเอาสถานภาพของสหรัฐฯ ลงจากความเป็นผู้นำโลก เป็นตัวอย่างของมาตรฐานทางการเมืองและศีลธรรมที่ร่วงมาเป็น "ประเทศโลกที่สาม" ซึ่งขาดความรับผิดชอบและใช้ทุกวิถีทางที่จะเอาชนะคะคานผู้อื่นโดยไม่สนใจความถูกต้องชอบธรรมแต่อย่างใด.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |