ขณะที่ประชาชนจำนวนหนึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลประกาศออกมาเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดไวรัสโควิด-19 รัฐบาลก็ต้องพยายามที่จะเยียวยา และเงินที่จะใช้ในการเยียวยานั้นจะเอามาจากงบประมาณปีนี้ยังไงก็ไม่พอ เพราะคนที่ได้รับผลกระทบนั้นมากกว่า 30 ล้านคน และระยะเวลาที่เราต้องประกาศใช้มาตรการนั้นก็ยาวนานหลายเดือน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องกู้เงิน ทั้งเอามาเยียวยาลูกจ้าง คนประกอบอาชีพอิสระ และผู้ประกอบการ เวลานี้หลายคนก็ได้รับการเยียวยาไปเกือบครบถ้วนแล้ว ยังมีติดขัดอยู่บ้าง เจ้าหน้าที่ภาครัฐก็ยังไม่หยุดที่จะแก้ไข เพื่อให้คนที่ได้รับผลกระทบ และเพื่อให้มีเงินมาใช้ในการเยียวยาให้เพียงพอ รัฐบาลจำเป็นต้องกู้ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ฝ่ายค้านบางคนก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจเพื่อจะได้แซะ แขวะ ด่า ค้านรัฐบาล
ฝ่ายค้านรายหนึ่งแสดงความกังวลต่อการที่รัฐบาล "กำลังใช้เงินในอนาคตมาสู้กับวิกฤติที่เกิดขึ้นในประเทศ" ฝ่ายค้านจึงมีข้อเสนอให้ปรับเปลี่ยนงบประมาณร่ายจ่ายประจำปี 2563-2564 ให้เหมาะสม (เรื่องนี้รัฐบาลทำอยู่แล้ว โดยกระทรวงต่างๆ ได้ปรับลดงบประมาณของกระทรวงลง ชะลอบางโครงการที่ไม่เร่งด่วน ยุติการจัดซื้อบางอย่างที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญา แต่ฝ่ายค้านก็ยังเอามาพูด เหมือนประหนึ่งว่ารัฐบาลยังไม่ได้ทำ และถ้ารัฐบาลทำ ก็จะอ้างได้ว่าทำตามคำแนะนำของฝ่ายค้าน) ส่วนเงินกู้ต้องใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและมียุทธศาสตร์เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ ไม่ใช่ให้เงินเหล่านี้ถูกใช้ไปโดยไม่มีการตรวจสอบ (เรื่องนี้เชื่อว่ารัฐบาลที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตระหนักดีว่าต้องใช้เงินที่กู้มาอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีการตรวจสอบและคัดกรองก่อนที่จะจ่ายเงินให้ใครคนใดคนหนึ่ง จนรัฐบาลต้องโดนด่าจากคนที่ใจร้อน ว่าตนเองจะต้องได้รับเงินเยียวยาแบบ real time ทั้งๆ ที่จำนวนคนที่ขอรับการเยียวยามีถึง 30 ล้านคน) ส่วนการตรวจสอบการใช้เงินนั้น รัฐบาลก็ไม่ได้ปิดกั้นการตรวจสอบแต่อย่างใด ใครมีเบาะแสหรือมีข้อสงสัยอะไร ก็สามารถตรวจสอบได้
เวลานี้เราอาจจะได้ยินการทุจริตจากการซื้ออุปกรณ์และสิ่งจำเป็นต่างๆ เพื่อใช้ในการต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโควิด แต่เหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้มาจาก “รัฐบาล” แต่มาจาก “ข้าราชการ” บ้าง “นักการเมืองท้องถิ่น” บ้าง และเรื่องราวทั้งหมดนี้ หน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบก็กำลังตรวจสอยอยู่ หลายกรณีก็ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่ามีผู้ที่ทำผิดประพฤติมิชอบจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นฝ่ายค้านที่บอกว่าต้องการตรวจสอบการใช้งบประมาณในการต่อสู้กับโควิดนั้นออกไปตรวจสอบแต่อย่างใด ไม่มีการพูดถึงเลยด้วยซ้ำไป เอาแต่จ้องที่จะพูดด้วยนัยที่จะสื่อว่ารัฐบาลใช้เงินในการเยียวยาไม่สุจริต การที่มีเรื่องเกิดขึ้นในเชิงประจักษ์แล้ว แต่ไม่คิดจะตรวจสอบ แต่เรื่องที่ยังไม่เกิด และไม่มีแม้แต่ข้อสงสัย ก็พยายามจะพูดให้คนบางคน (น่าจะเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคของตน) เชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่โปร่งใส มีการทุจริตในการใช้เงิน พูดถึงขนาดที่ว่าการกู้เงินมาเยียวยาครั้งนี้ รัฐบาลเหมือนเขียนเช็คเปล่าที่จะเติมจำนวนเงินเท่าไรก็ได้ตามอำเภอใจ
นอกจากจะค้านเรื่องการใช้เงินแล้ว พวกเขายังคัดค้านเรื่องการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก กล่าวหาว่าการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นการหนีม็อบบ้าง เป็นการปิดปากฝ่ายค้านบ้าง (ทั้งๆ ที่เวลานี้ก็เห็นพวกเขาพูดได้ทุกเรื่องที่พวกเขาอยากพูด แล้วจะบอกว่าการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นการปิดปากพวกเขาได้อย่างไร ส่วนม็อบนั้น รัฐบาลไม่อยากให้จัดเพราะว่ารัฐบาลกลัวว่าจะเกิด Super Spreaders ขึ้นในกลุ่มคนที่มาร่วมม็อบ แล้วมันจะทำให้การควบคุมโรคระบาดยุ่งยากมากยิ่งขึ้น และถ้าหากมีใครจัดม็อบเวลานี้จริงๆ ก็ไม่แน่ว่าจะมีคนมาร่วมมากน้อยแค่ไหน เพราะเชื่อว่าคนจำนวนมากก็ไม่อยากติดเชื้อไวรัสโควิด และทุกคนก็กลัวตายกันทั้งนั้น เวลานี้มันคือเวลาที่เราต้องเชื่อว่า “สุขภาพอยู่เหนือเสรีภาพ” ดังนั้นฝ่ายค้านไม่ควรจะค้านการต่ออายุการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วกล่าวหาว่านี่คือ “รัฐประหารโควิด” หรือไม่ควรจะไปไกลขาดกล่าวหาว่าหมอที่แนะนำมาตรการต่างๆ ให้รัฐบาลนั้นเป็นหมอขายวิญญาณ เป็นหมอที่ออกใบรับรองแพทย์ให้รัฐบาลเป็นเผด็จการ
พรรคร่วมฝ่ายค้านจะเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเพื่ออะไร เพราะหลังจากมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีการประกาศมาตรการต่างๆ ออกมา รวมทั้งการประกาศเคอร์ฟิว สถานการณ์ในการต่อสู้กับโรคระบาดโควิดของประเทศไทยก็ดีวันดีคืน ดูได้จากตัวเลขที่มีคนติดน้อยลง บางวันก็เป็นศูนย์ และเรามีคนติดเป็นเลขตัวเดียวมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว และบางจังหวัดก็ไม่มีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกเลยเป็นเวลามามากกว่า 28 วัน บางจังหวัดก็มากกว่า 14 วัน เป็นเหตุทำให้รัฐบาลสามารถปลดล็อกให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาประกอบการได้ ตอนนี้ธุรกิจในกลุ่มสีขาวและสีเขียวเปิดได้แล้ว ต่อไปอีกไม่นานก็จะมีการประกาศผ่อนปรมธุรกิจสีเหลือง ฝ่ายค้านน่าจะดูตัวเลขออก และน่าจะเข้าใจความเป็นเหตุและผลของการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการจัดการโควิดได้ดีขนาดที่ประเทศไทยติด 1 ใน 5 ของประเทศที่จัดการกับโควิดได้ดีที่สุดในโลก
การอ้างว่า เนื่องจากเห็นว่ามาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดทำได้ดีตามสมควร จึงไม่จำเป็นต้องต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกนั้น น่าจะฟังหมอพูดบ้าง บรรดาหมอทั้งหลายเขาก็บอกแล้วตัวเลขที่เราเห็นอยู่นี้ทำให้เรา “เบาใจ” ได้บ้าง แต่หมอก็บอกว่า เราอย่า “วางใจ” เพราะถ้าหากประมาทการ์ดตก แล้วโควิดกลับมารอบสองเป็น New Wave เราจะจัดการได้ลำบากทั้งงบประมาณ เครื่องมือ ยา และบุคลากรทางการแพทย์ที่เวลานี้ทำงานกันหนักมาก
ฝ่ายค้านเรียกร้องให้รัฐบาลสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมโรคระบาดกับการบริหารเศรษฐกิจด้วยการปลดล็อก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (เรื่องนี้รัฐบาลก็กำลังทำอยู่แล้ว คือมีการใช้มาตรการทางสาธารณสุขต่อสู้กับโรคระบาดด้วยการปรึกษาหมอผู้เชี่ยวชาญ และพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยการขอความคิดและคำแนะนำจากเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จ การที่ฝ่ายค้านอ้างว่าบางจังหวัดไม่มีโรคระบาด แต่ก็พลอยติดกับดัก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปด้วยนั้น ฝ่ายค้านต้องไม่ลืมว่าจังหวัดต่างๆ มีการเชื่อมต่อกัน ดังนั้นการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังเป็นสิ่งจำเป็น ขอร้องเถอะ อย่าค้านไปเสียทุกเรื่องจนกลายเป็นคนไร้เหตุผลที่ตรรกะวิบัติเลยนะคะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |