เป็นอีกหนึ่งนักแสดงมากความสามารถ สำหรับ พิม-พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์ ที่จะมาเปิดเผยเส้นทางในวงการบันเทิงกว่า 18 ปี จากพนักงานธนาคารสู่นักแสดงมืออาชีพ และเปิดปมความรักสุดช้ำ เจอแฟนไฮโซนอกใจ ทำร้ายร่างกาย ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow
“เมื่อก่อนทำแบงค์อยู่ธนาคารออมสิน ก็คือจบการเงินมา พ่ออยากให้เรียนทางไฟแนนซ์ ก็เรียนตามที่พ่อแนะนำ ทีนี้จบมาอาชีพที่มันมั่นคงก็เป็นราชการ ทำงานธนาคาร เราก็ไปสอบติดธนาคารออมสิน แล้วก็ทำได้ 2 ปี ก็เข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่ออมสินมี หน้า ATM ก็จะเป็นรูปเราถือแบงค์ แต่ก็รู้สึกว่าการมาทำงานแบบนี้มันเหมือนเดิมในทุกๆวัน ซึ่งเราชอบอะไรที่มันหลากหลาย แล้วเป็นคนที่ชอบร้องเพลง ก็อยากจะส่งเดโม่เทป เดินขึ้นตึกไปแจกตามค่ายต่างๆ ซึ่งเราได้เข้าไปเป็นศิลปินฝึกหัด เพราะเราส่งไปเป็น 10 รอบเขาไม่เรียก ก็เลยไปยืนเฝ้าเขา เขาก็บอกฟังแล้ว เดี๋ยวพี่เอามาเซ็นสัญญาก่อนปีนึง เขาก็ส่งมาเรียนร้องเพลง เรียนอะไรต่างๆ พอได้เซ็นสัญญาเขาก็ส่งเราไปแคสตามที่ต่างๆ แล้วได้เล่นเรื่องแรก คือภาพยนตร์ เรื่อง ขุนแผน แต่อันนี้ทางแกรมมี่ไม่ได้ส่ง เราไปเอง แต่ที่แกรมมี่ส่งไปคือแม่เบี้ย แต่เรายังขี้อาย เพราะว่าแม่เบี้ยต้องเซ็กซี่พอสมควร แล้วแคสติ้งเขาจำได้ เขาเลยให้แคส คืนบาปพรหมพิราม แล้วนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยน ตอนแรกที่เห็นโปสเตอร์คนไม่รู้นะว่าเป็นพิมพ์พรรณ คิดว่าเป็นเบนซ์ ซึ่งในปีนั้นก็ได้ร้บรางวัล สุพรรณหงส์
เรื่องความรัก ตอนนี้ไม่โสดแล้วค่ะ ส่วนข่าวไฮโซเมื่อก่อนคือตอนที่พิมเข้าวงการแรกๆ ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาเป็นคนมีฐานะ อยู่แวดวงไฮโซ ซึ่งเรายังเด็กก็ถือว่าโชคดีนะได้คนที่มีโปรไฟล์ดี แล้วเราก็ไม่ได้มีตัวเลือกอื่น พิมคิดว่าไฮโซทุกคนไม่ได้เหมือนกัน แต่ละคนมีลักษณะเฉพาะของเขา ซึ่งด้วยความที่เราดูข่าวผิวเผิน เขาเปลี่ยนแฟนดาราหลายคนแล้ว เหมือนดาราเป็นของเล่นของเขา แต่ลึกๆเราก็ไม่ทราบ แต่สำหรับพิมประสบการณ์ที่ผ่านมามันเจอแต่ความรักที่เราไม่ได้มีโอกาสเลือกอะไรมาก แล้วเราก็ยังเด็ก เพราะฉะนั้นการตัดสินใจในตอนนั้นมันทำให้เกิดความผิดพลาด มันทำให้เราไม่มีความสุขกับสิ่งที่เราได้เจอ แต่โมเมนต์ที่ดีมันก็มีเยอะ บางอย่างที่เจ็บช้ำมันก็มี จนทำให้เรารู้สึกว่าเราอาจจะทำให้เราต้องโฟกัสในตัวตนที่เราต้องการจริงๆ ความสุขมันอยู่ที่ไหน
เหตุการณ์ทำร้ายจิตใจเรารุนแรง ขนาดที่ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย มันก็เกิดขึ้นได้ในสมัยก่อน มันเกิดขึ้นกับบางคน มันเป็นเรื่องเก่าแล้ว พิมไม่อยากไปพูดถึงตรงนั้น เพราะว่าวันนี้ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป แล้วตอนนั้นมันก็เป็นการกระทบกระทั่งกันบ้างในความหึงหวง หรือในวัยที่เรายังอายุน้อย ตอนนั้นก็อยากฆ่าตัวตาย มันเฟลไปหมด มันทั้งอาย เพราะว่ามันออกสื่อบ้าง ในมุมของเรา เราจะถูกมองในแง่ลบ เหมือนแบบคบไฮโซหวังเงินหรือเปล่า แต่พอมันเฟลทุกคนก็มีทั้งให้กำลังใจแล้วก็มีในมุมที่สมน้ำหน้า
หลังจากที่เราเจอกับตรงนั้นเราเข็ดกับความรักเลย คือเหนื่อยกับการคบใครสักคน แล้วส่วนใหญ่คนที่เข้ามาก็เป็นคนมีเงิน คือคนทั่วไปเขาไม่กล้า พิมหน้าดุด้วย แล้วพออยู่ตรงนี้คนธรรมดาเขาไม่ค่อยสนใจ แล้วก็ไม่เจอใคร ประมาณ 4-5 ปีที่โสดแล้วทำงาน 7 วัน แต่ว่าโชคดีที่มีเพื่อน มีน้องที่เขารักเรา แล้วก็ไม่เหงา แล้วก็อยู่ได้
ความรักครั้งล่าสุด คือเราสองคนอายุเยอะแล้ว พิมก็ 44 แล้วเราก็คุยกันในแบบผู้ใหญ่ คือถ้าจะคบกัน ถ้าคิดอนาคตร่วมกัน เราต้องคุยกันเรื่องนี้แล้ว แต่ประเด็นเรายังไม่เคยเจอกัน ก็รอให้เขามาที่เมืองไทย แล้วเรามาคุยกันว่าเราจะมีอนาคตร่วมกันยังไง ณ ตอนนี้เรามั่นใจในความรัก เราแฮปปี้ มีความสุขค่ะ”
ขอบคุณภาพจากอินตาแกรม pymmy