โดยสีสัน บรรยากาศ อะไรต่อมิอะไรน่าจะเริ่มคลายๆ ลงไปมั่งแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงเหลือศูนย์ ไม่ก็ขยับขึ้นแค่หลักหน่วยจน ความปกติแบบเก่า ชักชำแรกแทรกซึมไปพร้อมๆ กับ ความปกติแบบใหม่ ชนิดแยกได้ลำบาก ว่าอะไรเก่า อะไรใหม่ ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่ารถราในท้องถนน หรือผู้คนตามศูนย์การค้า ที่ต่างไม่คิด เว้นระยะห่าง กรูออกมาติดหนุบ ติดหนับ นุงนัง นัวเนีย และแน่นขนัด ไปตามสภาพ...
--------------------------------------------------
ซึ่งก็ต้องถือเป็น ความปกติ นั่นแหละ...ไม่ว่าจะแบบเก่า หรือแบบใหม่ เพราะ ความเป็นสังคม ใดๆ ก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นต้องปฏิสัมพัทธ์-ปฏิสัมพันธ์กันและกัน ไม่ว่าทางหนึ่งก็ทางใด แม้ว่าท่านเชื้อไวรัส COVID-19 ท่านพยายามจะเคี่ยวเข็ญ บังคับ ให้ต้อง เว้นระยะห่าง เข้าไว้ แต่จะห่างกันในระยะไหน ห่างแบบใด หรือห่างอย่างไรที่จะไม่ทำให้ ความเป็นสังคม มันอาจถึงขั้นต้อง ล่มสลาย ตามไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่คงหาทางประดิษฐ์ คิดค้น นวัตกรรมใหม่ ที่ไม่ใช่แค่หน้ากากอนามัย หมวกพลาสติก ฉากพลาสติก เอาไว้กั้นหน้า กั้นหลัง ใครต่อใครแต่เพียงเท่านั้น แต่อาจต้องขยายขอบเขตไปถึงนวัตกรรมในทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้แต่ค่านิยมทางสังคม ควบคู่ไปด้วย...
--------------------------------------------------
คือตราบใดที่ยังไม่ได้มีการค้นพบ วัคซีน และตัวยาที่จะมารักษา เยียวยา โรคระบาดชนิดนี้ให้หายขาดอย่างเป็นที่ยอมรับกันโดยเอกภาพและเอกฉันท์กันจริงๆ ดูเหมือนว่า...ไม่ว่า ผู้เชี่ยวชาญ รายใด จะในระดับประเทศ หรือในระดับโลก ต่างไม่อาจ ฟันธง หรือ ฟันเฟิร์ม ลงไปได้ด้วยกันทั้งสิ้น ว่าบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลายจะต้องอยู่ร่วมกับเชื้อ COVID-19 ไปอีกนานเท่าไหร่ ปี-สองปี หรืออาจยาวไกลไปเป็นทศวรรษๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! การหาทางทำให้ ความเป็นสังคม ไม่ถึงกับต้องล่มสลายไปเพราะผลข้างเคียง หรือผลกระทบจากเชื้อไวรัสตัวนี้ จึงน่าจะมีอะไรใหม่ๆ มากกว่าแค่เฉพาะหน้ากากอนามัย หมวกพลาสติก ฉากพลาสติก ฯลฯ อย่างที่ว่าๆ เอาไว้แล้ว...
--------------------------------------------------
แต่มันจะเป็นอะไรบ้างนั้น...อันนี้ คงเกินไปกว่าขีดความสามารถของ ท่านขุนน้อย ที่ได้แต่นั่งปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้าง และเว้นระยะห่างทางสังคมกับใครต่อใครมานานเต็มที ได้แต่อาศัย จินตนาการ นึกถึงภาพความปั่นป่วน วุ่นวาย ระส่ำระสาย ที่กำลังก่อตัว ฟักตัว ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ การเมือง และวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมแบบพร่าๆ มัวๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...ก็ทำให้อดที่จะเกิดความรู้สึกเสียวสยอง ขนลุกขนพอง ขนแขนสแตนด์อัพ ในบางครั้ง บางครา ขึ้นมามิได้ โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่มีการประดิษฐ์ คิดค้น นวัตกรรมใหม่ๆ ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เข้ามารองรับอย่างเป็นระบบ ยังอาศัย ความปกติแบบเก่า ในการรับมือกับแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...
--------------------------------------------------
เพราะการหาทางรื้อฟื้น ความเป็นสังคม ให้หวนคืนกลับมาได้อย่างเป็นปกติ หรือการ รีโอเพ่น อะไรต่อมิอะไรต่างๆ นั้น ถ้าหากยังถูกรองรับเอาไว้ด้วย ความเป็นปกติแบบเก่า โอกาสที่จะชั่งน้ำหนักระหว่าง ผลเสีย กับ ผลได้ มันออกจะเป็นอะไรที่ยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ ชนิดส่งผลให้บรรดาเซียนๆ ทั้งหลาย หรือบรรดาผู้มีอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบในแต่ละรัฐบาล แต่ละประเทศ แทบ ไปไม่เป็น เอาเลยก็ว่าได้ เรียกว่า...แม้ว่ามันอาจช่วยให้ ตัวเลข GDP หรือตัวเลขทางเศรษฐกิจ พอมีโอกาสเงยหน้า อ้าปาก ขึ้นมาได้มั่ง แต่ ตัวเลขคนป่วย-คนตาย มันอาจพุ่งกระฉูด วิ่งไล่กวดประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ๆ โตๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าอเมริกา หรือบราซิล ฯลฯ ชนิดแย่งกันคว้าเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญต่างๆ กันไปตามสภาพ...
----------------------------------------------------
ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่มันเคยเป็นสิ่งที่มีมาโดย ปกติ ภายใต้ ความปกติแบบเก่า อยู่แล้ว...มันก็อาจกลายสภาพไปเป็น ความไม่ปกติ เอาง่ายๆ ความโลภ หรือ ความกระหายใคร่อยากทางวัตถุ อันเป็นความเป็นปกติภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบ ทุนนิยม ที่ครอบโลกทั้งโลกเอาไว้แบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด มันอาจส่งผลให้ นิวนอร์มอล กลายสภาพเป็น แอ็บนอร์มอล ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ ความพยายามรื้อฟื้น ความเป็นสังคม ให้หวนคืนกลับมาอย่างเป็นปกติแบบเดิมๆ แบบเก่าๆ ไปๆ-มาๆ มันอาจกลายเป็นตัวเร่ง เป็นตัวกระตุ้น ให้เกิด ความล่มสลาย ของสังคมแต่ละสังคม เอาเลยก็ไม่แน่!!!
---------------------------------------------------
ด้วยเหตุนี้...การหาทางประดิษฐ์ คิดค้น นวัตกรรมใหม่ๆ ในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เอาไว้รองรับก่อนล่วงหน้า จึงเป็นสิ่งจำเป็น และอาจมีความสำคัญซะยิ่งกว่าการประดิษฐ์ คิดค้น หน้ากากรูปตัวการ์ตูน หรือรูปอะไรต่อมิอะไรที่ชักกลายเป็น แฟชั่น ไปแล้วทุกวันนี้ ยิ่งกว่าการสร้างหมวกพลาสติก ฉากกั้นพลาสติก ฯลฯลฯ ที่ยังไม่อาจสรุปว่าหนักไปทาง นิวนอร์มอล หรือ แอ็บนอร์มอล กันแน่ ส่วนนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ว่านั้น มันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่น่าจะต้องก่อให้เกิด ความสมดุล ไม่ว่าในแง่ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือ ความกระหายใคร่อยากในทางวัตถุ หรืออาจก่อให้เกิด ความสุข ที่พอช่วยแทนที่ ความอิ่มเอมทางวัตถุ ก่อให้เกิดตัวเลข GNH แทนที่จะมั่วอยู่แต่ตัวเลข GDP อะไรประมาณนั้น...
---------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก “John Stuart Mill” (อีกครั้ง...และอีกครั้ง)... “I have learned to seek my happiness by limiting my desires, rather than in attempting to satisfy them. - ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะแสวงหาความสุข ด้วยการจำกัดความอยากของข้าพเจ้า แทนที่จะพยายามสนองตอบความอยากนั้นๆ...”.
----------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |