สมช.เคาะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน ชง ศบค.เห็นชอบ อ้างเพื่อให้สอดรับเดือน มิ.ย.ที่จะผ่อนปรนระยะ 3-4 ลั่นไม่มีนัยทางการเมืองแม้แต่ในหัว แย้มข่าวดีอาจขยับเวลาเคอร์ฟิวอีกในวงถก 27 พ.ค. "หมอทวีศิลป์" แจงผู้ติดเชื้อใหม่ 3 ราย เปิดไทม์ไลน์ไปทั้งร้านตัดผม-โรงพยาบาล-ห้างสรรพสินค้า "สธ." สั่งทีมสอบสวนโรคเช็กประวัติ จับตาหากผู้ป่วยเพิ่มกลุ่มก้อนอาจเป็นระลอกสอง
เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการ สมช. กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมส่วนราชการเพื่อประเมินความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่าในการประชุมได้เชิญหน่วยงานด้านความมั่นคง ข่าวกรอง สาธารณสุข และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาหารือ ซึ่งพยายามชั่งน้ำหนักทุกมิติ แน่นอนว่าความมั่นคงเป็นแกนหลัก แต่เห็นความสำคัญของด้านสาธารณสุขเป็นหลักเช่นเดียวกัน นั่นคือแนวคิดที่ทำมาตั้งแต่ต้นให้ความสำคัญเรื่องนี้ที่สุด
พล.อ.สมศักดิ์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันแม้ดูเหมือนว่าสถานการณ์ดีขึ้น แต่สถานการณ์โลกยังน่าเป็นห่วง มีตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน ไทยเองแม้จะประสบความสำเร็จ แต่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง การผ่อนคลายต้องทำด้วยความระมัดระวัง ไม่ต้องการให้เกิดการติดเชื้อระลอกสอง ด้วยเหตุผลความจำเป็นทุกหน่วยจึงเห็นพ้องต้องกันให้ขยายการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน เพื่อให้ครอบคลุมห้วงระยะเวลาเดือนมิถุนายนทั้งเดือน โดยจะเสนอให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.พิจารณาในวันที่ 22 พ.ค. ถ้าเห็นด้วยจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า
พล.อ.สมศักดิ์กล่าวว่า การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินถือเป็นเจตนารมณ์ตั้งแต่แรก ที่ต้องการเอาเครื่องมือทั้งหลายหรือกฎหมายหลายฉบับมารวมไว้ที่เดียวกัน จะเห็นว่าเมื่อประกาศใช้เราได้ตั้ง ศบค.และใช้กฎหมาย 40 ฉบับอยู่ภายใต้กำกับของนายกรัฐมนตรี ทำให้การสั่งการเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเอกภาพ ส่วนสาเหตุต้องต่ออีก 1 เดือน เพราะในเดือน มิ.ย.เป็นช่วงการผ่อนคลายระยะที่ 3 และ 4 ซึ่งการผ่อนคลายทุกระยะมีความเสี่ยงทุกขณะ ถ้าผ่อนคลายอย่างไม่ระมัดระวังการแพร่ระบาดอาจกลับมาอีกและหนักกว่าเดิม เราจึงเห็นว่าการมีเครื่องมือในการกำกับดูแลอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินถือเป็นตัวกำหนดที่ดีอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าบางฝ่ายมองว่าการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือป้องกันการเคลื่อนไหวทางการเมือง พล.อ.สมศักดิ์กล่าวว่า ตั้งแต่วันแรกที่นายกฯ ตัดสินใจใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เราไม่เคยคำนึงถึงเรื่องการเมืองเลย จนถึงวินาทีนี้ในฐานะที่ร่วมแก้ปัญหานี้มาตั้งแต่ต้น กล้ารับประกันว่าไม่ได้เอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด ไม่มีนัยทางการเมือง อาจมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่ม แต่ทั้งหมดนี้เพื่อให้เกิดผลทางด้านสาธารณสุขเป็นสำคัญ
แย้มอาจผ่อนเคอร์ฟิวอีก
เมื่อถามถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับการมาตรการเคอร์ฟิว พล.อ.สมศักดิ์กล่าวว่า วันนี้คุยเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างเดียว แต่เรื่องการผ่อนคลายระยะที่ 3 จะพูดถึงเรื่องเคอร์ฟิวด้วย ซึ่งจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 27 พ.ค. เพราะเข้าใจว่าเรื่องนี้กระทบชีวิตประชาชน ซึ่งอาจผ่อนคลายในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะปรับเหลือเวลาเท่าไร ทั้งนี้มาตรการเคอร์ฟิวทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดดีขึ้น จำกัดความเคลื่อนไหวของคนบางประเภทที่ไม่ยอมใช้ชีวิตแบบสมถะ และทำให้การอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ทำได้ดีขึ้น ซึ่งต้องดูอีกครั้งว่าในการผ่อนคลายระยะที่ 3 อาจพิจารณาให้ช่วงเวลาลดน้อยลงหรือเท่าเดิมก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลความจำเป็น ส่วนการพิจารณากรอบเวลาในการเปิดสนามบินนั้นไม่เกี่ยวกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่เป็นเรื่องพิจารณาของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ซึ่งต้องเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับมาตรการในภาพรวมอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ที่ประชุมพูดถึงมาตรการผ่อนคลายเกี่ยวกับโรงเรียนหรือไม่ พล.อ.สมศักดิ์กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการประกาศไปก่อนหน้านี้แล้วว่าจะเปิดเทอมวันที่ 1 ก.ค. ดังนั้นในช่วงเดือน มิ.ย.จะมีการพูดคุยกันมากขึ้นเพื่อกำหนดมาตรการต่างๆ เพราะสถานการณ์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ และฝรั่งเศสหลังเปิดโรงเรียนแล้วทำให้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น ดังนั้นก่อนเปิดเรียนต้องพูดคุยกันอย่างเข้มข้น ว่าจะเปิดลักษณะไหนรูปแบบไหน เท่าที่ฟัง รมว.ศึกษาธิการ การเปิดเทอมยังอยู่ที่วันที่ 1 ก.ค. ยังยึดกำหนดนั้นต่อไป แต่ถ้าจะเปิดเทอมก่อนหน้านั้น ก็ต้องมาคุยกันว่ามาตรการของกระทรวงสาธารณสุขและ สมช.จะดำเนินการอย่างไร
ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวถึงการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีก 1 เดือนว่า ตำรวจพร้อมปฏิบัติตามนโยบาย แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ต้องมาดูอีกว่าจะปรับแผนอย่างไรบ้าง หาความพอดี ไม่เป็นการจำกัดสิทธิ์ประชาชนที่ทำมาหากิน ให้ไปด้วยกันได้
“หากมีการลดเวลาเคอร์ฟิว การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจก็ไม่แตกต่างจากเดิม แต่หากผ่อนคลายระยะ 3 ให้สถานประกอบการประเภทอื่นๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องหารือเพื่อกำหนดแผนพูดคุยในรายละเอียดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป” พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าว
ก้าวไกลเพ้อเลิก พ.ร.ก.
ด้านนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวเรื่องนี้ว่า สถานการณ์ในประเทศขณะนี้ไม่มีเหตุผลใดที่รัฐบาลจะประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกต่อไป สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือยุติสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด หากในอนาคตมีการระบาดระลอก 2 ก็มั่นใจว่าด้วยศักยภาพของระบบสาธารณสุขไทย และความร่วมมือของประชาชนในการป้องกันตัวเองและผู้อื่นจะรับมือต่อสถานการณ์ได้
“2 เดือนที่ผ่านมาไม่ได้สูญเปล่าในการสร้างความตระหนักรู้ของประชาชน จะเห็นได้ว่าการใส่แมสก์ การพกเจลล้างมือ กลายเป็นพฤติกรรมปกติไปแล้ว ประชาชนตระหนักดีถึงปัญหาและสามารถปรับตัวกับวิถีใหม่ จึงไม่เหลือเหตุผลใดในการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก อนาคตของประเทศไทยควรถูกกำหนดขึ้นจากประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ประโยชน์เพื่อความมั่นคงของ พล.อ.ประยุทธ์” นายชัยธวัชกล่าว
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีมีการแสดงความคิดเห็นหลังจากที่ประชุม สมช.มีมติต่ออายุการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือนว่าเป็นไปเพื่อความมั่นคงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่มีเหตุผลและข้อเท็จจริง การต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นไปตามมติของที่ประชุม ซึ่งได้พิจารณาถึงสถานการณ์ด้านสาธารณสุข ความปลอดภัยของประชาชน และผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลักสำคัญ เพราะตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีมาตรการดูแลอย่างเข้มงวดต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในระลอกที่ 2 อย่างดีที่สุด
นางนฤมลกล่าวว่า ประชาชนได้เรียนรู้และป้องกันตนเองเป็นอย่างดี และเชื่อว่าประชาชนเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นและเห็นด้วยกับการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก ซึ่งต่อไปจะมีการเตรียมผ่อนคลายระยะที่ 3 และ 4 เพื่อให้ประชาชนทำกิจกรรมได้ตามปกติได้มากขึ้น แต่จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง
วันเดียวกัน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.แถลงถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในไทย ว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,037 ราย หายป่วยสะสม 2,897 ราย เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 56 ราย รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 84 ราย โดยผู้ป่วยรายใหม่ 3 รายอยู่ใน กทม. 2 ราย สถานที่กักกันของรัฐ 1 ราย ซึ่งผู้ป่วยรายแรกเป็นชายไทยอายุ 72 ปี มีโรคประจำตัวเบาหวาน มะเร็งปอด มีประวัติรักษาตัวที่โรงพยาบาลของรัฐใน กทม.เมื่อ 4 วันก่อน และมีประวัติไปตัดผมที่ร้านย่านประชาชื่น ต่อมาวันที่ 18 พ.ค.พบว่ามีอาการไข้ ไอ และมีเสมหะ จึงไปรักษาตัวที่ รพ.เอกชน ก่อนย้ายไปยัง รพ.รัฐ และวันที่ 20 พ.ค.ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ฉะนั้นจะเห็นว่ามีการไปโรงพยาบาลซึ่งมีความเสี่ยง รวมถึงการไปร้านตัดผม ทั้งสองแห่งจึงเป็นพื้นที่ที่มีปัจจัยเสี่ยงสำหรับรายนี้
นพ.ทวีศิลป์กล่าวอีกว่า รายที่ 2 เป็นชายอายุ 42 ปี สัญชาติเยอรมัน ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีการแสดงอาการ แต่พบว่ามีประวัติไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดชัยภูมิตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.ถึงวันที่ 16 พ.ค. โดยอาศัยอยู่ประมาณครึ่งเดือน และยังพบว่าชายคนดังกล่าวเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งมีความสงสัยว่าที่ จ.ชัยภูมิอาจเป็นส่วนหนึ่งที่มีปัจจัยเสี่ยงทำให้ติดเชื้อมา ดังนั้นมาตรการผ่อนคลายทั้งหลายยังมีความจำเป็น หากไปห้างสรรพสินค้าและไปร้านตัดผม หรือไปทำอะไรก็แล้วแต่เกิดขึ้นในช่วงที่มีแพลตฟอร์มไทยชนะแล้วหรือยัง ถ้ามีแล้วก็จะทำให้เกิดประโยชน์ สามารถติดตามตัวกลุ่มเสี่ยงได้ง่ายขึ้น ส่วนรายที่ 3 เป็นผู้หญิงอายุ 25 ปี เดินทางกลับจากเรียนภาษาที่ประเทศฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 13 พ.ค. และเข้าสถานกักกันตัวของรัฐ ก่อนจะตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 19 พ.ค.
สถานกักตัวทางเลือก
นพ.ทวีศิลป์ยังกล่าวว่า ในที่ประชุม ศบค.ชุดเล็กได้พูดถึงเรื่องสถานที่กักกันตัวของรัฐแล้ว โดยมีอีกศัพท์หนึ่งที่เรียกว่า อัลเทอร์เนทีฟ สเตทควอรันทีน ซึ่งเป็นสถานที่กักกันตัวทางเลือก เนื่องจากรัฐอนุญาตให้ต่างชาติเดินทางเข้ามา เช่น เจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ ที่มีใบอนุญาตให้เข้าที่ทำงาน, เจ้าหน้าที่สถานทูต ซึ่งเมื่อเข้ามาแล้วไม่อนุญาตให้เข้าที่ทำงานเลย แต่ให้เข้าสถานที่ที่รัฐจัดให้ แต่เขามีเงินและขอสถานที่กักกันตัวแบบดีขึ้นมาหน่อย เช่น โรงแรมชั้นดีและโรงพยาบาลชั้นดี โดยขอจ่ายเงินเอง ซึ่งได้ทดลองทำระบบดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว ปรากฏว่ามีผู้นิยมใช้บริการด้านนี้เป็นจำนวนมาก และไอเดียนี้จะถูกพัฒนาต่อไป
“ถ้าหมด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากมีคนเดินทางเข้าประเทศและสถานการณ์การติดเชื้อโควิดยังพุ่งขึ้นอยู่ ภาครัฐคงอุ้มอย่างเดียวไม่ไหว การจะมารับรองเหมือนเดิมคงไม่เกิดแล้ว ถ้าเดินทางเข้ามาอาจให้เลือกตั้งแต่โรงแรม 6 ดาว เป็นต้น ร่วมกับโรงพยาบาลที่จะมาจับคู่กัน ฉะนั้นโรงแรมและโรงพยาบาลที่สนใจก็ถือเป็นโอกาส” นพ.ทวีศิลป์กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ยังกล่าวถึงตัวเลขการลงทะเบียนใน www.ไทยชนะ.com ว่า เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 20 พ.ค.มีร้านค้าลงทะเบียน 73,295 ร้าน จำนวนผู้ใช้งาน 6,333,746 คน ส่วนผลการตรวจกิจการ/กิจกรรม ประจำวันที่ 21 พ.ค. ตรวจทั้งสิ้น 21,697 กิจการ/กิจกรรม พบว่าผู้ที่ปฏิบัติตามมาตรการแต่ไม่ครบมี 31 กิจการ/กิจกรรม ซึ่งสูงสุดเป็นเรื่องของการเว้นระยะห่าง ขณะที่สายด่วนศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) พบว่ามีการร้องเรียนเรื่องการมั่วสุม/การกระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เรื่องการดื่มสุรา 50% อื่นๆ 33% และเล่นการพนัน 17% และเรื่องร้องเรียนการไม่ปฏิบัติตามมาตรการผ่อนคลาย วันที่ 21 พ.ค.พบว่ามีเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 84 เรื่อง สูงสุดเป็นร้านอาหาร 58% รองลงมาร้านเสริมสวย 23%
เมื่อถามว่ามีความกังวลเรื่องแพลตฟอร์มไทยชนะ ว่าอาจมีการล้วงข้อมูลส่วนตัว รวมถึงข้อมูลด้านการเงิน นพ.ทวีศิลป์ยืนยันว่าไม่มีการล้วงข้อมูลส่วนตัวแน่นอน และไม่มีการไปตามเรื่องทางการเงิน และอยากขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือ อย่างกรณี 2 รายที่ติดเชื้อรายใหม่ ถ้ามีการใช้แพลตฟอร์มไทยชนะก็ทำให้สามารถติดตามตัวได้ง่าย รวมถึงประหยัดงบประมาณและประหยัดเวลา ควบคุมโรคได้ทัน ไม่ใช่จะไปดูธุรกิจการค้า การใช้จ่าย ไม่มีตัวเลขเงินอะไรในฐานข้อมูลให้เราได้รับรู้ ไม่ต้องกังวลใจ
ถามอีกว่ากลุ่มผู้ประกอบการร้านนวดเตรียมเปิดให้บริการในวันที่ 31 พ.ค.นี้ นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เห็นใจมากๆ ตนเองก็ชอบไปร้านนวดเพื่อนวดผ่อนคลาย และร้านนวดเป็นหนึ่งในอีกหลายกิจการรอผ่อนปรนระยะที่ 3 หรือต่อไป ซึ่งยังไม่สามารถให้คำตอบได้ทั้งหมด ถ้าตัวเลขต่างๆ ดีก็จะเกิดขึ้นได้ ถ้าพรุ่งนี้หรืออีก 9 วันข้างหน้าเราการ์ดตก ตัวเลขเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ก็จะไม่ใช่ภาพนี้ ถ้าผู้ประกอบการร้านนวดอยากเปิดในระยะที่ 3 ขอให้ใช้เวลา 9 วันนี้ต้องคิดภาพใหญ่ให้ละเอียดกว่ารัฐบาลคิด เพื่อดูแลคนของท่าน หากมีข้อเสนอมาถึง ศบค.ว่าหากเปิดแล้วมั่นใจว่าไม่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดจากธุรกิจของท่าน นี่คือการบ้านที่ต้องไปทำ ต้องเตรียมตัวให้พร้อม
สธ.จับตา 2 รายติดเชื้อใหม่
เมื่อถามอีกว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเปิดห้างสรรพสินค้าได้ แต่เปิดโรงเรียนไม่ได้ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า การศึกษามีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่กลุ่มนักเรียนมีความเปราะบางและเสี่ยงติดเชื้อ หากมีการแพร่ระบาด เพราะลักษณะนิสัยของเด็กชอบเล่นสัมผัสกัน รวมถึงฤดูนี้เป็นฤดูฝน มีความเป็นห่วงเรื่องการระบาดไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเด็ก ฉะนั้นมาตรการทั้งหลายที่มีการผ่อนปรน คณะกรรมการวิชาการศึกษาข้อมูลอย่างดี ทั้งของต่างประเทศด้วย เราอาจชะลอการเปิด ไม่ใช่ไม่เปิด เมื่อมั่นใจก็จะเปิด ส่วนห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ใหญ่เดินทางไปซื้อของ มีมาตรการต่างๆ ที่ผู้ประกอบการดูแลอยู่
ด้าน นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในวันนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 3 ราย โดย 2 รายติดเชื้อจากการไปสถานที่ชุมชน ซึ่งมีจำนวนน้อยก็จริง แต่เราไม่อยากเห็นตัวเลขที่มากกว่านี้ เพราะตัวเลขหลักเดียวหรือสองหลัก เรายังจัดการควบคุมได้ดี ส่วนกรณีผู้ติดเชื้ออายุ 72 ปีที่เกี่ยวข้องกับร้านตัดผมและ รพ.นั้น ทีมสอบสวนโรคได้ข้อมูลเบื้องต้นและลงพื้นที่แล้ว หากร้านตัดผมหรือโรงพยาบาลที่ได้ระบุไว้มีการลงระบบไทยชนะ เราก็จะพบข้อมูลว่าใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยง
นพ.อนุพงศ์กล่าวเพิ่มเติม ส่วนผู้ติดเชื้อชาวเยอรมันที่ไปห้างสรรพสินค้าในพื้นที่ที่เพิ่งมีผ่อนปรนนั้น อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับกิจการที่ผ่อนปรนก็ได้ อาจติดเชื้อจากคนที่บ้าน คงเร็วเกินไปที่จะตัดสิน ทั้งนี้ 2 รายที่ปรากฏตัวที่โรงพยาบาลอาจมีผู้ป่วยรายอื่นที่ยังไม่มาที่โรงพยาบาลก็ต้องดูกันต่อไป ถ้าเป็นกลุ่มก้อนที่ชัดเจนแปลว่าระลอกที่ 2 อาจมาแล้ว ก็ต้องมีมาตรการที่เข้มข้นมากกว่านี้ในเรื่องของการคัดกรองเฝ้าระวังควบคุมโรค ส่วนจะถึงขั้นต้องหยุดกิจกรรมบางอย่างหรือไม่คงต้องดูข้อมูลก่อนว่าอยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้หรือไม่ ถ้าควบคุมได้ก็ไม่มีการปิดกิจการ โดยทุกคนต้องช่วยกันเพื่อที่จะทำให้ยังสามารถเปิดกิจการต่อได้และปลอดภัยจากโรค.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |