เศรษฐกิจหลังโควิด-19 จะเป็นเช่นไร เป็นเรื่องใหญ่ที่เราจะต้องเริ่มวางแผนและเตรียมปฏิบัติการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ผมกำลังรวบรวมข้อมูลและวิธีคิดของแวดวงทั่วโลกเพื่อนำมาประกอบการถกแถลงในบ้านเราเพื่อระดมความคิดหาทางออกจากวิกฤตินี้อย่างชาญฉลาดและรู้เท่าทัน
หัวใจของการสร้างพลังเพื่อฟื้นออกจากอาการป่วยหนักนี้คือความสามารถในการปรับตัวด้วยความปราดเปรียวและคล่องแคล่วที่เรียกว่า Agility
นั่นหมายความว่าเราจะต้องไม่ติดอยู่กับรูปแบบใดแบบหนึ่งที่ผ่านมา เพราะสิ่งที่เคยเป็นสูตรแห่งความสำเร็จอาจจะไม่ตอบโจทย์อนาคตอันใกล้นี้อีกต่อไป
หนึ่งในข้อเสนอที่ผมอ่านพบคือแนวคิดแบบ Economics in the Age of Covid-19 หรือเศรษฐกิจในยุคโควิด-19 ซึ่งต้องผสมผสานระหว่างเศรษฐศาสตร์กับระบาดวิทยา
บางคนเรียกมันว่า Pandemic Economics
นั่นหมายถึงการคิดในกรอบใหม่ที่จะต้องเอาความสำคัญของสุขภาพมาพิจารณาร่วมกับเศรษฐศาสตร์และสังคม
คำนิยามคำว่า “ความมั่นคง” ก็จะเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะจะมีมิติของสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
Joshua Gans ศาสตราจารย์ด้านการบริหารเชิงกลยุทธ์แห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโต และหัวหน้าเศรษฐศาสตร์ของ Creative Destruction Lab ของแคนาดา ไม่รอให้โควิดจบก่อนแล้วจึงนำเสนอความคิดเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ที่ผูกโยงกับโรคระบาด
หนังสือเล่มน้อยของแกตีพิมพ์โดย MIT Press โดยที่ผู้พิมพ์และผู้เขียนกล่าวในคำนำว่า
“งานชิ้นนี้มีเป้าหมายของการถอยออกจากความโกลาหลระยะสั้นเพื่อมองให้เป็นระบบอย่างชัดเจนว่าการตัดสินใจทางเศรษฐกิจจะไปทางไหนเพื่อตอบสนองต่อโควิด-19”
นั่นแปลว่ารัฐบาลทุกประเทศและนักคิดนักปฏิบัติทุกวงการจะต้องไม่มัวสาละวนอยู่กับปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น หากแต่จะต้องถอยห่างออกมาเพื่อเห็นภาพใหญ่เพื่อเขียนพิมพ์เขียวสำหรับการแก้วิกฤติอย่างเป็นระบบ
นักเศรษฐศาสตร์คนนี้ย้ำว่า ระหว่างสุขภาพกับเศรษฐกิจต้องเลือกสาธารณสุขก่อน ไม่ใช่เพราะสุขภาพสำคัญต่อชีวิตผู้คนอย่างเดียว แต่การให้ความสำคัญต่อสุขภาพก่อนย่อมมีผลต่อเศรษฐกิจด้วย
เพราะหากคนป่วยมากตายมากย่อมไม่อาจจะฟื้นเศรษฐกิจได้อยู่ดี
บทเรียนจาก Spanish Flu เมื่อปี 1918 ที่มีคนตายกว่า 10 ล้านคนนั้นมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเวลาต่อมาอย่างมาก
เหตุผลง่ายๆ คือเมื่อคนตายและป่วยเป็นจำนวนมากก็ขาด “ทุนมนุษย์” นั่นคือแรงงานหายและคนที่เสี่ยงกับการติดเชื้อไวรัสนั้นย่อมไม่มีเรี่ยวแรงหรือกำลังสมองที่จะสร้างเศรษฐกิจให้กลับมาสภาพเดิมแต่อย่างใด
พูดอีกนัยหนึ่ง หากเลือกสุขภาพก่อนก็อาจจะกลับมาเลือกเศรษฐกิจได้อีก
แต่ถ้าเลือกเศรษฐกิจก่อน แต่สูญเสียสุขภาพ และสาธารณสุขเสื่อมทรุดไปทั้งระบบก็ย่อมไม่มีโอกาสกลับมาเลือกเศรษฐกิจใหม่อย่างแน่นอน
สิ่งที่ไทยเราทำมาถึงวันนี้ คือพยายามให้มีดุลอันเหมาะสมระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจโดยให้ความสำคัญกับการแพทย์เป็นหลัก และพิจารณาปัจจัยเศรษฐกิจที่มีความสำคัญอย่างจริงจังจึงเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
แต่ต้องดำเนินต่อไปอย่างชาญฉลาดและต่อเนื่อง สร้างภูมิคุ้มกันทั้งด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจกับสังคมอย่างถูกต้องเหมาะสม
ศาสตราจารย์แคนาเดียนท่านนี้เสนอโมเดล “เศรษฐกิจโรคระบาด” ไว้อย่างน่าสนใจ
แกแบ่ง “เศรษฐกิจโรคระบาด” หรือ Pandemic economy เป็น 4 ระยะ
ระยะควบคุมโรค หรือ containment
ระยะเริ่มใหม่ reset
ระยะฟื้นฟู recovery
และระยะยกระดับ enhance
ในระยะควบคุมโรคแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือระบุให้ชัดถึงภาวะระบาด
ขั้นที่สองคือการ “ซื้อเวลาเพื่อสำรองทรัพยากร”
ระยะสามคือ การประคับประคองความเสียหายทางเศรษฐกิจ
นั่นหมายถึงการให้ความสำคัญต่อการแพทย์ก่อน และประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเกินกว่าที่จะรับได้
พอ “เอาอยู่” หรือ contain ได้แล้วก็เข้าโหมด reset หรือตั้งหลักใหม่เพื่อเข้าสู่การ ฟื้นฟู หรือ recovery และเสริมพลังอย่างต่อเนื่อง หรือ enhance
บางสูตรใช้ 3 R เป็นหลักในการก้าวออกจากวิกฤติสู่การกลับมาเข้มแข็งใหม่
นั่นคือ Relief คือเยียวยา
ตามมาด้วย Recovery คือการฟื้นฟูอย่างเข้มแข็ง
และ Reform หรือการปฏิรูป
ข้อสุดท้ายนี้สำคัญมาก เพราะแม้จะฟื้นแล้ว แต่ถ้ายังกลับไปทำงานในกรอบเดิม ไม่รื้อสิ่งกีดขวางที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างชาติสร้างสังคมใหม่ ก็อาจจะหวนกลับไปสู่วิกฤติอีกครั้งได้
เพราะวิกฤติครั้งต่อไปอาจจะรออยู่ตรงหัวเลี้ยวข้างหน้า...และมันอาจจะไม่ใช่โรคระบาดก็ได้
เพราะวิกฤติในยุคความปั่นป่วนนั้นมาได้ในทุกรูปแบบจริงๆ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |