21 พ.ค.63 - นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “ยังไงก็โดน” ประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นใหม่ ถูกปิดตา ปิดใจ แต่เปิดปาก วิพากษ์วิจารณ์แบบผิดๆ นักการเมืองเล่นการเมืองด้วยการฉ้อโกง พอโดนประชาชนจับได้ จนทหารออกปฏิวัติ ก็ร้องขอในหลวงให้ช่วย แต่...ช่วยก็โดน ไม่ช่วยก็โดน
สิ่งหนึ่งที่ทักษิณจงเกลียดจงชังสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะตอนที่ทักษิณโดนปฏิวัติ ทักษิณร้องขอข้ามประเทศ ให้ในหลวงช่วย ขอให้ในหลวงพระราชทานนิรโทษกรรม แต่ในหลวงท่านอยู่เหนือการเมือง แต่เด็กยุคนี้โดนกลุ่มแดงและส้มใส่ร้ายว่า ในหลวงอยู่เบื้องหลังการเมือง
สมัย รสช. ในหลวง ออกมาเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยให้กับการเมือง ซึ่งหลังจากในหลวงเรียกผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายมาเข้าเฝ้า เหตุการณ์ร้ายในบ้านเมืองก็ยุติในทันที ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เซอร์ไพรส์ไปทั่วโลก แต่นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองในเมืองไทยเอามาเป็นเรื่องโจมตีว่า ในหลวงยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
พอถึงยุคทักษิณโดนปฏิวัติ เพราะขายสมบัติของชาติให้ต่างชาติ แต่ทักษิณและกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เคยให้ร้ายว่า ในหลวงเกี่ยวข้องกับเมือง กลับขอให้ในหลวงออกตัวมาช่วย ซึ่งมันแปลว่า ต้องให้ในหลวงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งพระองค์มีประสบการณ์ที่พระองค์ท่านหวังดีและช่วยชาติ แต่กลับถูกตีว่าไม่ดี พระองค์ท่านจึงไม่ออกมาช่วยไกล่เกลี่ยอีก
แต่กลับกลายเป็นว่า ทักษิณกับพวก ก็ยังไม่วาย ให้ร้ายว่าที่พระองค์ไม่ช่วย เพราะอยู่เบื้องหลังทหาร ทั้งๆที่ประวัติศาสตร์นองเลือดระหว่างนักการเมือง ทหาร และประชาชนที่ผ่านมา ทั้ง 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ ก็มีในหลวงออกมาไกล่เกลี่ย โดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ โดยไม่เคยเข้าข้างทหาร หรือนักการเมือง เลย
ยกเว้น เหตุการณ์นองเลือดเผาเมืองของเสื้อแดงกลุ่มทักษิณ ที่พระองค์ต้องหยุดทุกอย่างจริงๆ เพราะที่ผ่านมา 2 ครั้ง เคยออกมาช่วยประชาชนแต่ยังถูกใส่ร้ายว่ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
สุดท้ายพอไม่ออกมาช่วยไกล่เกลี่ย ก็ถูกให้ร้ายอีกว่าอยู่เบื้องหลังทหาร คนเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังไงก็หาเรื่องโจมตีวันยันค่ำ
ยังไงก็โดน ช่วยก็โดน ไม่ช่วยก็โดน ยังไงก็โดน แล้วยังเป็นการส่งต่อ การสร้างความเกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์ จากรุ่นสู่รุ่น จากชาวสีแดงสู่ชาวสีส้มในปัจจุบัน
............................................................................
ส่วนหนึ่งของพระราชดำรัสพระราชทานวันพุธที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
“ประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน
เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา
เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด
เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร
แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร
เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ
แล้วก็ใครจะชนะ
ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น
มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้
ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้
แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ
ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชน เฉพาะในกรุงเทพมหานคร
ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด
แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง”
พระราชดำรัสพระราชทานวันพุธที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
ถึงแม้พระองค์ไม่ได้อยู่เตือนอีกแล้ว
แต่พวกเราสามารถเก็บพระราชดำรัสนี้ไว้ใช้ได้ต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |