สิงห์อมควันกลัวโควิด สูบลดลง 30% หวั่นกระทบสุขภาพ ไม่มีเงินเลี้ยงปากท้อง


เพิ่มเพื่อน    

20พ.ค.63-ศจย. เผยผลสำรวจพฤติกรรมการซื้อและสูบบุหรี่ของคนไทย ในช่วงล็อคดาวน์ โควิด-19 ระบาด พบทั้งสูบและซื้อลดลงร้อยละ 27 และร้อยละ 30 ตามลำดับ เหตุกลัวกระทบสุขภาพและต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย  ส่วนอีกร้อยละ 24 ตั้งใจเลิกสูบไปเลย  


    ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) เผยผลสำรวจพฤติกรรมการซื้อและการสูบบุหรี่ของคนไทย ในช่วงมาตรการล็อค ดาวน์ (Lock Down) และเคอร์ฟิว (Curfew) จากสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ก่อโรคโควิด-19 ระบาด แบบควิก โพลล์ เพื่อนำข้อมูลไปใช้พัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายด้านสุขภาพว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทางออนไลน์ทั่วประเทศ ใน 2 ประเด็น ได้แก่ ผลกระทบต่อผู้สูบบุหรี่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และ ผลกระทบต่อการชื้อบุหรี่ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการประกาศล็อค ดาวน์ และประกาศเคอร์ฟิว นั้น พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 72.2 ที่สูบบุหรี่ทุกวัน มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่เหมือนเดิมก่อนที่โควิด-19 จะระบาด ถึงร้อยละ 55.3 แต่มีตัวเลขเชิงสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสระบาดนี้ ทำให้คนไทยสูบบุหรี่น้อยลงถึงร้อยละ 27.1 โดยให้เหตุผลว่ากลัวกระทบสุขภาพ ร้อยละ 38.4  ถัดมาคือต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ร้อยละ 37.2 และตั้งใจเลิกในช่วงวิกฤตนี้ ร้อยละ 24.4 ขณะที่มาตรการล็อค ดาวน์ และเคอร์ฟิว มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อบุหรี่ โดยคนไทยซื้อบุหรี่น้อยลง ร้อยละ 30


     สอดคล้องกับข้อมูลจากร้านสะดวกซื้อพบว่า ในภาวะวิกฤตโควิด-19  ร่วมกับรัฐออกมาตรการล็อค ดาวน์ และเคอร์ฟิว ยอดซื้อบุหรี่จากร้านสะดวกซื้อในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยยอดจำหน่ายบุหรี่ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนมีมาตรการล็อค ดาวน์ และเคอร์ฟิว  เทียบกับเดือนมีนาคม-เมษายน 2563 ที่มีมาตรการล็อค ดาวน์ และเคอร์ฟิวแล้ว ยอดขายบุหรี่ลดลงร้อยละ 25 


     นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบด้วยว่า ในช่วงโควิด-19 ระบาด มีคนสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 18.1 โดยให้เหตุผลว่าสูบมากขึ้นเพราะเครียด ร้อยละ 18.3 และสูบเพราะไม่มีอะไรทำ ร้อยละ 14.8 ขณะที่มาตรการล็อค ดาวน์ และเคอร์ฟิว มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อบุหรี่  โดยซื้อบุหรี่กักตุนมากขึ้น ร้อยละ 12.7 ซื้อครั้งละมากกว่า 1 ซอง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 และซื้อก่อนเวลาเคอร์ฟิว 22.00 น. 1-2 ชม. บ่อยครั้ง ร้อยละ 13.3 และบางครั้ง ร้อยละ 37.5 ซึ่งส่วนมากผู้สูบบุหรี่ซื้อบุหรี่จากร้านสะดวกซื้อ
     “พฤติกรรมการสูบบุหรี่ของคนไทยในช่วงภาวะวิกฤตโรคระบาด ที่สะท้อนผ่านตัวเลขทั้งในกลุ่มที่สูบลดลงและสูบเพิ่มขึ้นนี้ แม้ไม่ใช่พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีนัยยะสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มของการสูบลดลงเพราะปัจจัยทางเศรษฐกิจ และกลัวกระทบต่อสุขภาพ  แสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต หากเกิดภาวะวิกฤตคนจะเลือกปากท้องและสุขภาพมากกว่า   รวมถึงมาตรการด้านการสื่อสารข้อมูล สูบบุหรี่เสี่ยงป่วยโควิด-19 มากขึ้น จากภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสัมฤทธิ์ผล สามารถสร้างความเข้าใจและตระหนักให้กับประชาชนได้ จึงต้องรักษาความเข้มข้นในจุดนี้ไว้ ศจย.เองจะทำการสำรวจ วิจัย และสืบค้นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาวะของคนไทย เผื่อนำมาถ่ายทอดสู่สังคม ส่วนในกลุ่มที่สูบมากขึ้น ตัวเลขถึงจะน้อยแต่ไม่ควรมองข้าม เมื่อได้ทราบสาเหตุแล้ว ศจย.จะนำข้อมูลที่ได้ หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายด้านสุขภาพเสนอต่อรัฐบาลต่อไป” ผอ.ศจย. กล่าว
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"