จังหวัดสมุทรสาครเป็นศูนย์กลางสำคัญทางเศรษฐกิจ มีแรงงานพลัดถิ่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา สูงสุดถึง 4 แสนคน สสส.-กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จัดกิจกรรม “อสม.เคาะประตูบ้าน ต้านโควิด-19” ลุยใช้กลไก อสต.ให้ความรู้แรงงานข้ามชาติ จ.สมุทรสาครต่อเนื่อง ผลสัมฤทธิ์ไม่มีแรงงานข้ามชาติติดโควิด-19 แม้แต่รายเดียว ชี้ส่วนใหญ่มีกำลังใจดี ไม่วิตกกังวล
กิจกรรมจิตอาสาและอาสาสมัครเป็นประสบการณ์การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น ทำให้เห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในตัวเอง เป็นเสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจให้กับผู้ที่รับความช่วยเหลือได้มีความสุข มีชีวิตชีวา อีกทั้งยังมีความหวัง การทำตัวเป็นแบบอย่างของคนที่ทำความดีเหล่านี้ส่งผลให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่น ชุมชน และส่งผลต่อสังคมส่วนรวมด้วย เป็นการทำงานด้วยความสมัครใจ ไม่ได้หวังผลตอบแทนในรูปแบบตัวเงิน ทั้งยังเป็นการช่วยลดอัตตา (ความเป็นตัวตน) ของตัวเองลงอีกด้วย
เมืองไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) จำนวน 1 ล้าน 4 หมื่นคนทั่วทั้งประเทศในทุกหมู่บ้าน ทำหน้าที่นักรบแนวหน้าด้านสุขภาพของประชาชน ทั่วโลกให้การยอมรับว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่ความสำเร็จ นับเนื่องตั้งแต่ปี 2520 เป็นเวลา 43 ปีมาแล้วที่ ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว รมว.สาธารณสุข นพ.อมร นนทสุต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ก่อตั้ง อสม. ที่ผ่านมานั้นพลัง อสม.รูปแบบหนึ่งของการมีส่วนร่วมของประชาชนในด้านสาธารณสุข ได้ใช้ประสบการณ์อย่างดีในการแก้ไขปัญหาไข้หวัดนก ไข้หวัดซาร์ส และล่าสุดโควิด-19
พญ.ขจีรัตน์ ปรักเอโก ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สสส. กล่าวว่า สสส.สนับสนุนการดำเนินงานโครงการตำบลจัดการสุขภาพเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) มีพื้นที่ทำงาน 152 ตำบลทั่วประเทศ ผลักดันอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1 ล้านคน ทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้เกิดชุมชนสร้างสุขทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และรายได้ แต่ในช่วงระบาดโควิด-19 ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานตามสถานการณ์ จนเกิดเป็นกิจกรรม “อสม.เคาะประตูบ้าน ต้านโควิด-19”
เช่นเดียวกับพื้นที่ของจังหวัดสมุทรสาคร ที่มีแรงงานข้ามชาติประมาณ 200,000-300,000 คน (เฉพาะที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงแรงงาน) เป็นชาวเมียนมามากที่สุด รองลงมาคือ ลาว และกัมพูชา จึงเกิดการใช้กลไกของอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) เข้าไปให้ความรู้กับประชากรกลุ่มนี้เกี่ยวกับการดูแลป้องกันตัวเองจากโควิด-19 โดยใช้สื่อที่ สสส.ผลิตร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องโควิด-19 กับกลุ่มประชากรข้ามชาติ 3 ภาษา ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชาที่ยังอาศัยอยู่ในไทย
จังหวัดสมุทรสาครเป็นศูนย์กลางสำคัญทางเศรษฐกิจมีแรงงานพลัดถิ่นเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนมากในช่วงสูงสุดถึง 4 แสนคน นับได้ว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดังนั้นเพื่อให้การควบคุมโรคได้ทันเวลาและจำกัดการชุมนุมของประชาชนในสถานที่ต่างๆ ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการแพร่ระบาดโรคขยายออกไปในวงกว้าง หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดตาม กม. ม.52 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
ทั้งนี้ วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.สมุทรสาคร ได้ออกประกาศเรื่องกำหนดเวลาการเปิด-ปิดตลาด โดยให้เปิดค้าส่งและค้าปลีกไม่ติดต่อกันไม่เกิน 6 ชั่วโมง และให้เจ้าของตลาดหรือผู้ดูแลตลาดมีมาตรการคัดกรอง รวมทั้งผู้ค้าและผู้ซื้อต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19
"ต้องขอชื่นชมไปยัง อสต.ที่ปฏิบัติหน้าที่ออกให้ความรู้อย่างเข้มแข็งเป็นประจำต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดก็มีวิสัยทัศน์ที่ดีมากในเรื่องนี้ ส่งผลให้มีนโยบายปฏิบัติที่ชัดเจน โดยปัจจุบันจังหวัดสมุทรสาครยังไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 ที่เป็นแรงงานข้ามชาติแม้แต่รายเดียว” พญ.ขจีรัตน์กล่าว
กิตติ เรืองวิไลพร พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ และครูฝึก อสต. กล่าวว่า ปัจจุบัน อสต. มีสมาชิกประมาณ 400-500 คน (จากทั้งหมด 3,090 คน ในระยะ 10 ปี) กระจายใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง บ้านแพ้วและกระทุ่มแบน มีที่มาจากการคัดเลือกของผู้ประกอบการ และการชักชวนกันมาอบรม ในช่วงเวลาปกติ อสต.จะทำหน้าที่ประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและแรงงานข้ามชาติ เพื่อเฝ้าระวังโรคติดต่อในชุมชน แต่ในช่วงระบาดโควิด-19 ได้นำรถโมบายล์ออกไปให้ความรู้แก่พี่น้องแรงงานข้ามชาติตามชุมชนต่างๆ ที่มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยนำสื่อการดูแลตัวเองหลายภาษาของ สสส. กระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย ไปประชาสัมพันธ์ให้กับกลุ่มเป้าหมายรับทราบ เพื่อแก้ไขปัญหาการรับข้อมูลข่าวสารน้อยกว่าคนไทย อันเนื่องมาจากข้อจำกัดทางด้านภาษา
“หลังจากให้ความรู้กับกลุ่มแรงงานไปพบว่าหลายครอบครัวรู้จักใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยขึ้น มีระยะห่างทางสังคมมากขึ้น ส่วนการใส่หน้ากากผ้านั้นทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะต้องทำงานในโรงงาน หรือเป็นแรงงานประมงต่อเนื่อง มีติดบ้านกันคนละ 3-4 ชิ้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคหาซื้อ ขณะที่สภาพจิตใจพบว่า ส่วนใหญ่มีกำลังใจที่ดี ไม่เกิดความเครียดในการทำงาน และมีจำนวนน้อยมากที่เดินทางกลับบ้านเกิด ซึ่งเชื่อกันว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้น รัฐบาลสามารถรับมืออยู่” นายกิตติกล่าว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |