สองยักษ์ของโลกกำลังเผชิญหน้ากันอย่างเคร่งเครียดหนักขึ้นทุกที
ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่า "ผมไม่มีความสนใจที่จะพูดกับท่านสี จิ้นผิงตอนนี้"
มิหนำซ้ำยังสำทับว่า "เราสามารถลงโทษจีนได้หลายทาง...รวมถึงการตัดความสัมพันธ์ทั้งหมด"!
ได้ยินอย่างนั้นคนทั้งโลกต้องตื่นตะลึง ร้อง "โอ้โห" กันระงมทีเดียว
โลกยุคนี้ยังมีผู้นำมหาอำนาจที่กล้าส่งเสียงขู่ประเทศที่มีอำนาจต่อรองเบอร์สองว่าจะไม่คบหากันเลยในทุกมิติอย่างนั้นอีกหรือ?
ทรัมป์อาจจะเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาอาจจะอ้างว่าเป็นวิธีการใช้คำพูดเพื่อต่อรองกับจีน และพอวันรุ่งขึ้นอาจจะหันกลับมาคืนดีกันก็ได้
แต่นี่ไม่น่าจะเป็นวิสัยของประเทศยักษ์ที่ต้องแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่แห่งประชาคมโลกมิใช่หรือ
คำพูดล่าสุดของทรัมป์เป็นการต่อยอดจากความตึงเครียดที่เกิดจากการแพร่ไวรัสโควิดในอเมริกา ที่ขณะนี้มียอดคนติดเชื้อและเสียชีวิตสูงสุดในโลก
นั่นคือสาเหตุที่ทรัมป์ต้องหา "แพะ" เพื่อรับบาปในผลที่ตามมา ซึ่งกระทบต่อคะแนนนิยมของเขาในยามที่กำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
ทรัมป์ถือว่านี่เป็น "ภัยจากจีน" ที่อาจจะทำให้เขาแพ้เลือกตั้งได้
ถึงขั้นที่เขาบอกเมื่อเร็วๆ นี้ว่า "จีนกำลังพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ผมแพ้เลือกตั้ง"
เป็นคำอธิบายว่าทำไมทรัมป์จึงมีอาการกระฟัดกระเฟียดกับจีนอย่างออกหน้าออกตาเช่นนี้
ถึงขั้นบอกว่าไม่ต้องการจะพูดกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในยามนี้
ทั้งที่เขาเคยคุยบ่อยๆ ว่าเขากับสี จิ้นผิงมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง และสามารถจะยกหูไปพูดจากันได้เสมอ
แต่วันนี้ทรัมป์พลิกเกมไปคนละด้าน
เขาบอกว่า "ผิดหวังอย่างยิ่ง" กับการที่จีนไม่สกัดกั้นโคโรนาไวรัสที่เริ่มจากเมืองอู่ฮั่นจนมาระบาดที่สหรัฐฯ
จากนั้นทรัมป์ก็บอกว่าการแพร่ไวรัสตัวนี้ถึงสหรัฐฯ กลายเป็นอุปสรรคของการทำตามข้อตกลงเฟสหนึ่งในการสงบสงครามการค้าที่ลงนามไปแล้ว
เขาเคยใช้ข้อตกลงนี้กับปักกิ่งในการหาเสียงกับคนอเมริกัน ว่านี่คือผลงานเยี่ยมยอดของเขาที่สามารถกดดันให้จีนยอมตาม
แต่วันนี้ "ผลงาน" นั้นหมดสภาพ คนอเมริกันกำลังมองว่าทรัมป์ไม่สามารถแก้ปัญหาโรคระบาดได้
ทรัมป์จึงต้องโยนความผิดไปที่สี จิ้นผิง
เพื่อนรักกลายเป็นศัตรูชั่วข้ามคืน...ทั้งที่จีนโต้กลับอย่างรุนแรงว่าสหรัฐฯ กำลังเล่มเกมสาดโคลนใส่จีน เพราะจีนยืนยันว่าไม่ได้ปิดบังอำพรางข่าวสาร และอเมริกาไม่สามารถจะกล่าวโทษจีนได้ว่าเป็นต้นตอของโรคระบาดครั้งนี้
ปักกิ่งย้ำว่าในอดีตตอนที่โรคระบาดและเอชไอวีกลายเป็นปัญหาระดับโลกนั้นก็เริ่มต้นจากสหรัฐฯ แต่จีนก็ไม่เคยกล่าวหาสหรัฐฯ หรือโลกตะวันตกแต่อย่างใด
วันนี้สหรัฐฯ กับยุโรปบางประเทศออกมาชี้นิ้วไปที่จีนว่าเป็นจำเลยของเรื่องนี้ ปักกิ่งจึงถือว่านี่เป็นการเปิดศึกที่จีนไม่อาจจะยอมได้
ทรัมป์บอกนักข่าว Business Fox News เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนว่า "จีนไม่ควรจะปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเลย ผมอุตส่าห์เจรจาได้ข้อตกลงเรื่องการค้ากับจีนอย่างดิบดี แต่วันนี้ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นของดีแล้ว หมึก (ในสัญญา) ยังไม่ทันแห้งเลย เจ้าโรคระบาดมันก็อาละวาดมาถึงบ้านเรา ผมไม่รู้สึกเหมือนเดิม (ต่อจีน) อีกต่อไปแล้ว"
สมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันคนหนึ่งเสนอว่าเพื่อเป็นการลงโทษจีนในเรื่องนี้ วอชิงตันควรจะระงับการออกวีซ่าให้นักศึกษาจีนที่ต้องการมาเรียนหนังสือในอเมริกา โดยเฉพาะด้านที่โยงกับความมั่นคงเช่นคอมพิวเตอร์ควอนตัมและปัญญาประดิษฐ์
นักข่าวถามทรัมป์ว่ามีความเห็นอย่างไรต่อข้อเสนอนี้
ทรัมป์ตอบทันว่า "เราทำอะไรได้หลายอย่าง เราอาจจะทำอะไรบางอย่าง เราอาจจะยกเลิกความสัมพันธ์ (กับจีน) ทั้งหมดเลยก็ได้"
ไม่แน่ชัดว่านี่เป็นคำขู่หรือคำร้องขอ แต่โดยมาตรฐานของการทูตระหว่างประเทศ ถ้อยคำเช่นนี้ไม่ควรออกมาจากปากของผู้นำประเทศ ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ หรือจะมีอารมณ์ร้อนแรงเพียงใดก็ตาม
ในจังหวะเดียวกันนั้นก็เกิด "ดรามา" ระหว่างทรัมป์กับนักข่าวอเมริกันเชื้อชาติจีนของทีวีเอบีซี
นักข่าวสาวคนนั้นถามทรัมป์ว่า ทำไมเขาจึงให้ความสำคัญกับตัวเลขของคนที่ถูกตรวจเพื่อค้นหาอาการโรคโควิดในสหรัฐฯ มากมายนัก...นั่นเป็นการโยงกับความไม่พอใจของเขาต่อจีนใช่หรือไม่
ทรัมป์ตอบทันที "คุณต้องไปถามจีนเอง"
นักข่าวสาวคนนั้นรู้สึกว่าทรัมป์มีอคติต่อเธอเพียงเพราะเธอมีหน้าตาเป็นเอเชีย แต่ทรัมป์ไม่สนใจ พอนักข่าวอีกคนหนึ่งจะถามต่อ ประธานาธิบดีก็สะบัดก้นเดินหนีไปอย่างเสียอารมณ์
โลกกำลังก้าวเข้าสู่ "สงครามเย็นไวรัส" อย่างแน่แท้แล้ว!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |