ผมตั้งวงคุยกับกูรูเรื่องระหว่างประเทศ 3 ท่านในรายการ “ตอบโจทย์” ทาง ThaiPBS เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าด้วยเรื่องโควิด-19 กับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “โลกาภิวัฒน์”
วงสนทนามี ดร.เตช บุนนาค อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ, ดร.ปณิธาน วัฒนายากร แห่งคณะรัฐศาสตร์, จุฬาฯ และ ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โดยมีคุณวราวิทย์ ฉิมมณี ร่วมดำเนินรายการ
ทั้งสามท่านเป็นเพื่อนคุ้นเคยตั้งแต่เราต่างมีอายุยังน้อย และเฝ้ามองความผันแปรของโลกตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
ผมกับคุณเตชอยู่ในคณะตัวแทนจากประเทศไทยที่นำโดยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ที่ไปลงนามในการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1975
เราทั้งสองต่างถือว่าเราได้เป็นพยานของบทสำคัญทางประวัติศาสตร์ฉากหนึ่ง
เป็นประสบการณ์ที่หายากยิ่ง และทุกวันนี้ทุกครั้งที่เรานั่งวิเคราะห์สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปรไปอย่างรวดเร็วและน่าหวาดหวั่น ก็ยังหนีไม่พ้นที่จะเท้าความถึงฉากที่นายกฯ คึกฤทธิ์กับนายกฯ โจว เอินไหล ลงนามในเอกสารอันมีความหมายยิ่งระหว่างสองประเทศ
(คุณเตชในฐานะเป็นเลขานุการของคณะเป็นคนยื่นหนังสือให้นายกฯ คึกฤทธิ์ลงนามในวันนั้น)
กับ ดร.ปณิธานนั้น เราตั้งวงวิเคราะห์สถานการณ์โลกกันมาตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซีย และช่วยกันเฝ้ามองโลกจากมุมความมั่นคงอย่างใกล้ชิดมาตลอด
อาจารย์สมภพเป็นอาจารย์หนุ่มที่ร่วมเสวนากันตั้งแต่เราร่วม Think Tank ที่ผมตั้งชื่อว่า Nation Panel of Economists คุยเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อระดมความคิดหาทางวางแนวทางของประเทศไทยในยุคสงครามเวียดนามยังร้อนแรงอยู่
แต่เมื่อวันศุกร์ (ผ่านเหตุการณ์ที่ปักกิ่งมา 45 ปี) พอฉากของการเสวนาเมื่อวันศุกร์เปิด ผมเล่าให้ฟังว่านิตยสาร The Economist เพิ่งพาดหัวในฉบับล่าสุดว่า
Goodbye, Globalisation
สะท้อนว่าโลกกำลังถูกเขย่าครั้งสำคัญอีกครั้ง
เราผ่านสงครามร้อน (สงครามโลกครั้งที่สอง) แล้วก็เข้าสู่สงครามเย็น ตามมาด้วยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และแถมด้วยสงครามไซเบอร์ ตามมาด้วยสงครามไฮเทค
และวันนี้ดูเหมือนเรากำลังก้าวเข้าสู่ “สงครามไวรัส” อย่างเต็มรูปแบบ
สงครามรูปแบบใหม่ที่มีไวรัสเป็นตัวละครตัวใหม่...ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปรในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง
ผมเรียกมันว่า “โรคาภิวัฒน์”
เพราะมันเป็นโรคร้ายที่ระบาดไปทั่ว ไม่สนใจเรื่องพรมแดน, ศาสนา, สถานะทางสังคม, ความร่ำรวยหรือยากจน
สงครามวันนี้ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 มีมิติหลายด้านที่เพิ่มความสลับซับซ้อนหนักหน่วงยิ่งขึ้นมาก
เพราะโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ตัวนี้ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออก
เกิดการปริแตกของสหภาพยุโรปเองที่ต่างคนต่างเอาตัวรอด ไม่เกื้อหนุนช่วยเหลือกันและกัน
อีกทั้งยังมีการแก่งแย่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมไปถึงหน้ากากอนามัย, เครื่องช่วยหายใจและบุคลากรทางการแพทย์
ตามมาด้วยการแข่งขันว่าใครจะสามารถวิจัยและค้นพบวัคซีคก่อนกัน
อีกทั้งหากเจอวัคซีนแล้วจะมีการแบ่งปันกันระหว่างประเทศต่างๆ รวดเร็วและมากน้อยเพียงใด
คำว่า “โลกาภิวัฒน์” จึงกำลังถูกทดแทนด้วย “ชาตินิยม” ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นในโลกรอบใหม่
เรียกมันว่า “สงครามเย็นรอบสอง”
เหมือนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสองที่ผู้คนหวาดกลัวกันหนักหนา
อีกทั้งยังมีประเด็นการแย่งชิงว่าระบอบการเมืองของใครมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับไวรัสได้ดีกว่ากันแน่
จีนอ้างได้ไหมว่าระบอบคอมมิวนิสต์มีความสามารถในการตั้งรับโรคระบาดได้ชะงัดกว่า “เสรีนิยมตะวันตก” ที่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนบุคคลมากกว่าความมีวินัยเพื่อสุขอนามัย
สหรัฐฯ พยายามแก้ประเด็นนี้ด้วยการชี้นิ้วกล่าวหาว่าจีนเป็นจำเลยในเรื่องนี้เพราะเชื้อโรคตัวนี้เกิดที่ประเทศจีน
และเพราะความไม่โปร่งใสในข้อมูลและความพยายามปกปิดความจริงตั้งแต่ต้น (ตามแนวทางของเผด็จการ) จึงทำให้แพร่ไปทั่วโลก สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและเศรษฐกิจของทั้งโลก
พอคำว่า “globalization” ถูกลดความสำคัญลงก็มีคำว่า “de-coupling” ปรากฏขึ้นมา
ศัพท์คำนี้ความจริงมาก่อนโควิด-19 เพราะมีความหมายว่าสหรัฐฯ กับจีนกำลังต้องการจะ “แยกวง” โดยมีเทคโนโลยีด้านสารสนเทศเป็นเส้นแบ่งกั้นใหม่
เพราะจีนพัฒนา 5G สำเร็จผ่านหัวเว่ย และสหรัฐฯ ถือว่านั่นเป็นอันตราย เพราะเทคโนโลยีของจีนระบบนี้สามารถจะแอบเจาะความลับของตะวันตกได้ จึงสั่งห้ามไม่ให้องค์กรของสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรปติดตั้งระบบของจีน
สหรัฐฯ สั่งให้ทุกหน่วยงานของตนและน้าวโน้มยุโรป (รวมไปถึงแคนาดา, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์) ต่อต้าน 5G ของจีน
โดยให้ใช้ระบบของตะวันตกเองเป็นหลัก
เท่ากับว่าโลกจะถูกแบ่งเป็นสองค่ายเหมือนตอนสงครามเย็นอีกรอบหนึ่ง
ต่างกันตรงที่ว่าสงครามเย็นรอบแรกถูกแบ่งแยกโดยอุดมการณ์ทางการเมือง
แต่คราวนี้ปัจจัยความขัดแย้งที่ทำให้ต้อง “ตีเส้นแบ่งค่าย” อีกครั้งหนึ่งคือเทคโนโลยี
ที่ทับซ้อนสงครามการค้าระหว่างสองยักษ์อีกรอบหนึ่ง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |