ช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ “เกาะกั๊ตบา” ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนเวียดนาม ก่อนหน้านั้นมักจะอยู่ในโปรแกรมต่อเนื่องหรือถูกผูกอยู่ในทริปเดียวกับการเที่ยวอ่าวฮาลอง (Ha Long Bay) แต่เมื่อมีการพัฒนาสาธารณูปโภคด้านต่างๆ ขึ้นบนเกาะเพื่อรองรับการท่องเที่ยวอย่างจริงๆ จังๆ ผู้คนก็นิยมเดินทางตรงจากกรุงฮานอยมายังเกาะกั๊ตบาโดยไม่ต้องไปผ่านอ่าวฮาลองมากขึ้นเพราะใช้เวลาพอๆ กัน และหากจะบินมาลงที่เมืองไฮฟองแล้วนั่งเรือมาเกาะกั๊ตบาก็ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว อีกทั้งจากเกาะกั๊ตบานักท่องเที่ยวสามารถซื้อทัวร์ล่องเรือชมอ่าวฮาลองสบายๆ
เหตุผลที่การท่องเที่ยวเกาะกั๊ตบาเริ่มต้นช้าก็เหมือนกับหลายๆ แห่งทั่วทั้งเวียดนามนั่นก็คือ การอยู่ในภาวะสงครามที่ยาวนาน นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อเนื่องด้วยสงครามขับไล่ฝรั่งเศส สงครามขับไล่สหรัฐอเมริกา หรือสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 แล้วยังตามมาด้วยสงครามกับกัมพูชา (เขมรแดง) ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามอินโดจีนครั้งที่ 3 กว่าประเทศจะสงบแท้จริงก็ราวๆ ปี ค.ศ.1990 เข้าไปแล้ว
จุดท่องเที่ยวน่าสนใจบนเกาะกั๊ตบานอกจากหาดกั๊ตกอ (Cat Co) ทั้ง 3 หาดที่ได้กล่าวถึงไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ยังมีอีกหลายแห่ง ขอยกตัวอย่างป้อมปืนใหญ่ (Cannon Fort) ความสูงจากระดับน้ำทะเล 177 เมตร ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีมาก บริเวณใกล้ๆ ปลายแหลมทางด้านใต้ของเกาะ กองทัพญี่ปุ่นสร้างขึ้นระหว่างการยึดครองเวียดนามในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังญี่ปุ่นพ่ายแพ้กลับบ้านฝรั่งเศสก็มายึดป้อมแห่งนี้ใช้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 เมื่อฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำและกำลังจะหนีออกจากเกาะ ฝ่ายทหารในพื้นที่ได้รับคำสั่งให้ทำลายปืนทั้งหมด ทว่าฝ่ายกองทัพเวียดนามมีฝีมือพอที่จะซ่อมแซมอย่างรวดเร็วจนทันได้ยิงเรือฝรั่งเศสที่กำลังเผ่นหนี ส่วนในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 หรือสงครามขับไล่สหรัฐอเมริกา มีรายงานว่าปืนต่อต้านอากาศยานจากป้อมแห่งนี้มีโอกาสได้ยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพลุงแซมตกอ่าวตังเกี๋ยไปหลายลำ
ร้านที่มีสัญลักษณ์ ATM บนเกาะกั๊ตบาไม่ได้แปลว่ามีเครื่องเอทีเอ็มอยู่ภายในร้าน
ป้อมปืนใหญ่ในปัจจุบันนอกจากมีไว้ศึกษาประวัติศาสตร์แล้วก็ยังเป็นจุดชมวิวหมู่เกาะกั๊ตบา (Cat Ba Archipelago) ที่มีจำนวนถึง 367 เกาะ เกาะเล็กเกาะน้อยอยู่ในอ่าวลานฮา (ส่วนขยายของอ่าวฮาลอง) ป้อมปืนใหญ่นี้ตั้งอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองกั๊ตบาในย่านท่าเรือ หากเดินเท้าก็ใช้เวลาแค่ประมาณ 30 นาที แต่ส่วนมากนักท่องเที่ยวมักเช่ามอเตอร์ไซค์หรือนั่งแท็กซี่ขึ้นไปมากกว่า น่าเสียดายที่ช่วงเวลาขณะผมไปเยือนเกาะกั๊ตบาป้อมปืนใหญ่แห่งนี้อยู่ในระหว่างปิดการเข้าเยี่ยมชม
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าเครื่องบินของกองทัพสหรัฐได้ทิ้งระเบิดลงมาบนเกาะนี้อย่างหนักระหว่างสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 ชาวเวียดนามต้องหลบระเบิดในถ้ำต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วทั้งเกาะ ปัจจุบันถ้ำบางแห่งได้กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะโรงพยาบาลถ้ำ (Hospital Cave) ที่ถูกสร้างต่อเติมลงไปถึง 3 ชั้น ใช้รักษาผู้บาดเจ็บและเป็นที่หลบระเบิดของนายทหารเวียดนาม
จะบนแผ่นดินใหญ่หรือเกาะไหนๆ ในเวียดนามหนีไม่พ้นต้องสร้างตึกเป็นรูปกลักไม้ขีดตั้ง
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัยแนวไต่เขาและปีนผาทั้งหลาย เกาะกั๊ตบารองรับได้ไม่ตกหล่น หนึ่งในนั้นคือที่หุบเขาผีเสื้อ (Butterfly Valley) ผมได้อ่านบล็อกเกอร์บางคนเขียนไว้ว่าอย่าได้คาดหวังว่าจะเจอฝูงผีเสื้อกลุ้มรุมห้อมล้อม หุบเขาแห่งนี้มีผีเสื้ออยู่จริงแต่จำนวนไม่ได้มากมายดาษดื่นราวกับภาพฝันในนิยาย หากแต่เป็นสถานที่สำหรับนักปีนผามากกว่า อย่างไรก็ตามภาพหุบเขาผีเสื้อบนผนังล็อบบี้ในโรงแรมก็ดูสวยงามชวนชมอยู่ไม่น้อย จนผมเกือบจะเช่ามอเตอร์ไซค์ขับไปหา
หุบเขาผีเสื้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติกั๊ตบาที่กินพื้นที่ 109 ตารางกิโลเมตร (ไม่รวม 52 ตารางกิโลเมตรที่เป็นลากูนหรือผืนน้ำบนเกาะและป่าชายเลน) หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของเกาะ เมื่อปี ค.ศ.2004 องค์การยูเนสโกประกาศให้เกาะกั๊ตบา (รวมถึงหมู่เกาะ) เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลเพื่อการอนุรักษ์ การสำรวจวิจัยทางวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยกำหนดให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนเล็กๆ ในเขตพื้นที่กันชนของอุทยานเพื่อให้การอนุรักษ์เดินไปคู่กับเป้าหมายทางเศรษฐกิจอย่างสมดุล
ในด้านความหลากหลายทางชีวภาพของเกาะกั๊ตบานั้นข้อมูลจากเว็บไซต์วิกิพีเดียระบุว่า มีพืชประจำถิ่นอยู่ถึง 1,561 ชนิด ในจำนวนนี้มีสมุนไพรอยู่ 661 ชนิด ส่วนสัตว์ประจำถิ่นมีอยู่ 279 ชนิด โดย 23 ชนิดกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ มีสัตว์ปีกอยู่ 160 ชนิด สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 66 ชนิด แมลง 274 ชนิด สัตว์ทะเล 900 ชนิด ปะการัง 178 ชนิด งูทะเล 7 ชนิด เต่าทะเล 4 ชนิด และสาหร่ายทะเล 21 ชนิดพบทั่วหมู่เกาะกั๊ตบา
อ่าวลานฮาภาพสุดท้ายมองออกไปผ่านกระจกรถบัส
สัตว์ตัวเอกของเกาะกั๊ตบาก็คือค่างกั๊ตบา หรือค่างกระหม่อมทอง (Golden-headed Langur) มีอยู่เฉพาะบนเกาะนี้เท่านั้น ถือเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากที่สุดในโลก จากที่เคยมีอยู่ประมาณ 2,400-2,700 ตัว พวกมันถูกล่าเพื่อนำไปทำยาตามความเชื่อโบราณ อีกทั้งถิ่นที่อยู่อาศัยถูกบุกรุกจนพื้นที่ลดน้อยถอยลง ปัจจุบันพบค่างกั๊ตบาเหลืออยู่เพียง 68 ตัว
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือส่วนหนึ่งของสภาพการท่องเที่ยวรวมๆ ของเกาะกั๊ตบา น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ผมไม่ได้ไปไหนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ต้องเดินทางออกจากเกาะหลังจากนอนค้างได้ 2 คืน ภารกิจกลับเมืองไทยทางบกกำลังหมิ่นเหม่เพราะกำหนดการบางอย่างแทรกเข้ามาจนอาจมีเวลาไม่พอ
วานนี้ผมได้จองตั๋วรถบัสกั๊ตบา-ฮานอยจากโรงแรมไว้แล้ว ราคา 250,000 ดอง หรือประมาณ 300 บาท กำหนดรถออกเวลา 12.30 น. กินมื้อเช้าไข่คนกับขนมปังบาแก็ตแล้วก็ให้โรงแรมคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมดหวังจะจ่ายด้วยบัตรเดบิต แต่ทางโรงแรมรับเฉพาะบัตรเครดิตซึ่งผมไม่มี จึงต้องเดินหาตู้เอทีเอ็มกดเงิน เดินไปทางซ้ายผ่านหน้าท่าเรือกั๊ตบาไปราว 500 เมตร ตู้ของธนาคารไซ่ง่อนในโรงแรมแห่งหนึ่งไม่สามารถใช้งานได้ ขึ้นข้อความ Out of Order เดินกลับไปทางขวาของท่าเรือเจอตู้ของธนาคารเพื่อการเกษตร (AgriBank) ตั้งติดกัน 2 ตู้แต่ใช้การไม่ได้เลยสักตู้
ป่าชายเลนเกาะกั๊ตบา
ผมลองเปิดแผนที่กูเกิลในมือถือหาตู้เอทีเอ็มในรัศมีที่พอเดินได้ ในแผนที่ระบุว่าเป็น ATM หลายแห่ง แต่ผมทราบดีว่าพวกนี้เป็นแค่ร้านแลกเงิน ลองเดินไปร้านที่อยู่ไกลสุดในตลาดกั๊ตบาเพื่อจะเดินไล่กลับมาทีละร้าน ถามผู้หญิงในร้านว่ามีตู้เอทีเอ็มจริงหรือ เธอเอามือไปเคาะที่เครื่องรูดบัตร ทางร้านจะรูดบัตรเสมือนว่าเราได้ซื้อสินค้าบางอย่างแล้วจ่ายเงินสดให้เราตามจำนวนที่ต้องการโดยคิดค่ารูดครั้งละ 4 เปอร์เซ็นต์ของยอดเงิน คงใช้ได้ทั้งบัตรเดบิตและเครดิตตระกูล Visa และ Mastercard ผมถอยออกมา ลองแวะถามอีก 2 ร้านที่มีสัญลักษณ์ ATM อยู่หน้าร้าน แต่ภายในไม่มีตู้เอทีเอ็ม มีแต่เครื่องรูดบัตรเหมือนๆ กัน
เกิดความท้อใจและหวาดหวั่น หากตู้เอทีเอ็มใช้งานไม่ได้ภายใน 1 ชั่วโมงนี้คงไม่แคล้วต้องยอมลงให้กับบริการเอทีเอ็มจำแลงของพวกร้านแลกเงิน เมื่อเดินกลับไปที่ตู้ของธนาคารเพื่อการเกษตร มีฝรั่งยืนรออยู่ 2 คน ชาวเวียดนามอีก 1 คน ทำให้รู้สึกมีความหวังขึ้นมา ในที่สุดก็ทราบว่าเจ้าหน้าที่ของธนาคารกำลังเติมเงินสดเข้าไปในตู้
ไม่กี่นาทีระหว่างนี้มีคนมายืนเข้าคิวเพิ่มอีกหลายคน ผมต่อคิวหลังหนุ่มเวียดนามที่มายืนคอยอยู่ก่อน เขาใช้เวลากดเงินนานมาก กดแล้วกดอีก จนเงินสดเป็นฟ่อนเต็มมือ เขาน่าจะเป็นคนจากร้านรับแลกเงิน และผมก็มีสิทธิ์ที่จะสงสัยว่าพวกนี้นอกจากมีความจำเป็นต้องนำเงินสดไปใช้ในการแลกกับเงินสกุลต่างประเทศจากนักท่องเที่ยวแล้ว ก็ยังอาจตั้งใจให้เงินในตู้เอทีเอ็มหมดเกลี้ยง เพราะเมื่อเงินหมดตู้เอทีเอ็มนักท่องเที่ยวที่ไม่มีเงินสดใช้จ่ายก็คงหนีไม่พ้นต้องไปพึ่งพวกร้านแลกเงินที่รออยู่พร้อมเครื่องรูดบัตร
ผมกดเงินสำเร็จแล้วก็เดินไปกินกาแฟที่ร้าน Start Up เหมือนเช่นเมื่อวาน ชื่นใจกับโรบัสต้าจากดาลัตแล้วเดินกลับโรงแรมเพื่อจ่ายเงิน ขึ้นห้องไปอาบน้ำเก็บกระเป๋า ลงมาเวลาเที่ยงตรง รอครู่เดียวก็มีคนเดินมารับพาไปขึ้นรถบัสที่จอดรออยู่หน้าปากซอย บนรถมีฝรั่งหนุ่มสาวนั่งกันอยู่บ้างแล้ว บางคนยกเท้าขึ้นมาพาดเก้าอี้ตัวหน้าลักษณะปลายเท้าชี้ขึ้นหลังคารถ หนุ่มคนหนึ่งนินทาพนักงานโรงแรมในกั๊ตบาว่า “โง่” ผมได้ยินคำว่า “Stupid” เต็ม 2 หู ทำให้นึกรังเกียจฝรั่งประเภทนี้ขึ้นมาจับใจ ซึ่งในบ้านเราก็มีเพ่นพ่านเป็นจำนวนมาก
ท่าเรือ Cai Vieng ในเขต Phu Long เกาะกั๊ตบา สำหรับข้ามฝั่งไปยังเกาะกั๊ตไฮก่อนจะนั่งบัสต่อไปกรุงฮานอย
รถบัสคันนี้เป็นของบริษัททัวร์ชื่อ Daiichi Travel ตระเวนรับผู้โดยสารตามโรงแรมต่างๆ ยาวไปจนออกจากเขตเมืองหน้าท่าเรือกั๊ตบา ขับเลียบฝั่งด้านตะวันตกของเกาะไปสู่ท่าเรือ Cai Vieng ในเขต Phu Long ผู้โดยสารลงจากรถบัสไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามสู่ท่าเรือ Got บนฝั่งเกาะกั๊ตไฮโดยใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที จากนั้นลงจากเรือไปขึ้นรถบัสคันใหม่ที่จอดรออยู่ รถข้ามสะพานยาวสู่แผ่นดินใหญ่เมืองไฮฟองก่อนมุ่งหน้ากรุงฮานอย จอดป้ายสุดท้ายที่หน้าสำนักงานบริษัท Daiichi Travel ใกล้ทะเลสาบหว่านเกี๋ยมเวลาประมาณ 5 โมงเย็น
ตอนนั่งมาในรถบัสผมได้จองที่พักชื่อ Mylan Guesthouse ในเขตเมืองเก่า (Old Quarter) บนถนน Hang Bo เดินประมาณ 1 กิโลเมตรก็เห็นป้ายเกสต์เฮาส์ เปิดประตูเข้าไปเจอทั้งคลินิกทำฟันและคนเย็บผ้า ความจริงผมต้องเปิดประตูเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ จึงจะเป็นทางเข้าเกสต์เฮาส์ แม้ว่ากิจการต่างๆ เหล่านี้จะมีเจ้าของเป็นครอบครัวเดียวกัน
เด็กสาวคนหนึ่ง คงเป็นลูกหลานในครอบครัวนี้ยื่นกุญแจห้องให้ผมแล้วเธอก็เดินนำขึ้นบันไดไป 4 ชั้น ถึงห้อง 401 แล้วสาวน้อยก็กลับลงไป พิจารณาดูจึงทราบในตอนนี้ว่าเป็นตึกเก่าสไตล์โคโลเนียลฝรั่งเศส ห้องพักสะอาดดี มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน แต่เตียงนอนนุ่มไปหน่อย ถือว่าคุ้มราคาราวๆ 500 บาท อาบน้ำแล้วออกไปกินเฝอไก่ชามละ 20,000 ดองในร้านริมถนนไม่ห่างจากเกสต์เฮาส์
ในย่านนี้มีร้านขายวิสกี้และไวน์ร้านเล็กๆ ที่อยากพูดถึงร้านหนึ่ง ชื่อ The Liquor Store – At the best Prices บนถนน Hang Ga ตรงหัวมุมที่ตัดกับถนน Hang Vai วิสกี้หลายตัวราคาถูกกว่าดิวตี้ฟรี ส่วนไวน์นั้นมีจากฝรั่งเศสและเวียดนาม ผมสนใจเฉพาะไวน์จากดาลัต เด็กหนุ่มในร้านกล่าวอย่างมั่นใจว่าสินค้าร้านเขาถูกกว่าร้านอื่นๆ ในฮานอยด้วยกัน เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อผมจำไวน์บางตัวไปเปรียบเทียบกับร้านอื่น คืนนี้ผมซื้อไวน์จากดาลัตขวดเล็ก 1 ขวด ราคาตกประมาณ 100 บาทเท่านั้น ให้เขาเปิดจุกคอร์กแบบไม่สุดเพื่อไว้ใช้มือดึงออกเองได้ยามจะดื่มในเกสต์เฮาส์
บัสวิ่งไปบนสะพานข้ามแม่น้ำแดงเข้าสู่ตัวเมืองกรุงฮานอย
เก็บขวดไวน์ใส่เป้แล้วเดินไปแถววงเวียนน้ำพุริมทะเลสาบหว่านเกี๋ยม ใจกลางของเขตเมืองเก่าฮานอย ปกติบริเวณนี้จะจอแจไปด้วยมอเตอร์ไซค์ นักท่องเที่ยวมือใหม่ต้องรอกันหลายนาทีกว่าจะได้ข้ามถนน วันนี้ไม่มีรถราอย่างเคย กลายเป็นย่านถนนคนเดิน เวทีใหญ่เปิดการแสดงทางวัฒนธรรมตั้งอยู่ใกล้ๆ วงเวียน มีกิจกรรมดนตรีอยู่ตามจุดต่างๆ วงลีลาศกำลังมีนักเต้นวาดลวดลายอยู่หลายคู่ ริมถนนเต็มไปด้วยแผงและรถเข็นขายอาหาร ส่วนมากเป็นพวกปิ้งย่างและผลไม้ดองรับลมหนาว ผมได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่คนหนึ่งว่าทุกสุดสัปดาห์ย่านนี้จะถูกแปลงโฉมให้เป็นถนนคนเดิน ด้านตลาดกลางคืนหรือไนต์มาร์เก็ตขายเสื้อผ้าและของที่ระลึกก็เริ่มจากหัวถนนที่เชื่อมจากวงเวียนน้ำพุต่อยาวขึ้นไปทางทิศเหนือ ฮานอยยามนี้เต็มไปด้วยฝรั่งนักท่องเที่ยว
มีวงดนตรีแจ๊สของคณะวัยกลางคนเล่นแบบเปิดหมวกอยู่ทางตะวันตกของวงเวียนน้ำพุใกล้ๆ ร้านน้ำชาเฉพาะกิจที่ตั้งเก้าอี้พลาสติกไว้หลายสิบตัว คนหนุ่มสาวนั่งดื่มชาและแทะเมล็ดทานตะวันจนเปลือกเกลื่อนพื้น ผมเข้าไปซื้อเบียร์กระป๋องมานั่งดื่มฟังเพลงได้เพลงเดียววงดนตรีก็เลิก พอดีกับที่เกิดความคิดจะไปเที่ยวเมืองนิงห์บิงห์แบบไปเช้าเย็นกลับขึ้นมา
ใกล้ๆ เกสต์เฮาส์มีออฟฟิศทัวร์เล็กๆ เรียงกันอยู่หลายเจ้า ผมเดินเข้าไปที่ Sinh Travel ป้ายหน้าออฟฟิศเขียนไว้ว่า Ninh Binh 1 Day – 25 USD พนักงานขายบอกว่า 25 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับทัวร์ที่ไม่มีไกด์ หากรวมไกด์ราคาอยู่ที่ 35 ดอลลาร์ (วันต่อมาผมเจอลุงชาวอินเดียในคณะเดียวกันแกซื้อได้ในราคา 30 ดอลลาร์) ออกเดินทางเวลา 8 โมงตรง ผมขอต่อรอง 8 โมงครึ่ง เธอก็ตกลง
ผมจ่ายด้วยบัตรเดบิต พนักงานขอคิดค่ารูดบัตร 4 เปอร์เซ็นต์ของยอดรวม ผมบอกเธอว่าบัตรเดบิตนี้เป็นแบบพิเศษ ไม่มีค่าธรรมเนียม ไม่คิดค่าประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน 2.5 เปอร์เซ็นต์ และเรตเป็นสากลตามการซื้อขายประจำวันของตลาดโลก เธอพยักหน้าแบบงงๆ แล้วพูดว่า “ฉันเชื่อคุณ” ในใจคงคิดว่ามันเกี่ยวอะไรกัน จากนั้นเธอก็แจ้งอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์เป็นเงินดองในเรตที่ผมเสียเปรียบดอลลาร์ละ 2,000 ดอง เธอนำบัตรไปรูดโดยชาร์จเป็นเงินดอง
คมสยามยังเฉือนคมเวียดนามไม่ลงอยู่เช่นเดิม.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |