เป็นไปอย่างที่หลายฝ่ายคาดไว้ ไฟในพรรคพลังประชารัฐยังไม่ดับง่ายๆ แม้ก่อนหน้านี้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะส่งสัญญาณเบรกลูกพรรคบางกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหารพรรคในช่วงที่ทุกฝ่ายกำลังแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
เพราะต่างรู้กันดีว่าความเคลื่อนไหวในพรรคพลังประชารัฐจะยังไม่จบเพียงเท่านี้ ตราบใดที่บางกลุ่มในพรรคยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นั่นคือ การเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคจากนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และเลขาธิการพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน
สาเหตุที่บางกลุ่มในพรรคต้องการเปลี่ยนตัวจาก นายอุตตม และ นายสนธิรัตน์ ยังมีความคาบเกี่ยวกับประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรี หรืออาจจะบอกได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญ
หลายกลุ่มในพรรคพลังประชารัฐมองว่า กลุ่มนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งประกอบไปด้วย นายอุตตม, นายสนธิรัตน์, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมนั้น ไม่ได้ยึดโยงกับ ส.ส.ภายในพรรค ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการไม่มี ส.ส.ในมือ และการไม่มีปฏิสัมพันธ์แบบนักการเมือง
ที่ผ่านมานายสมคิดใช้วิธีเกื้อหนุนกันและกันกับกลุ่มสามมิตร ซึ่งมาจากพรรคไทยรักไทยด้วยกัน ในลักษณะของน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า
โดยนายสมคิดสามารถเข้าถึง “บิ๊กตู่” ในขณะที่กลุ่มสามมิตรไม่สามารถทำได้ เพียงแต่ว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม มี ส.ส.อยู่ในมือมากพอที่จะต่อรองหรืองัดง้างกับกลุ่มอื่นๆ ภายในพรรคพลังประชารัฐได้
เหตุนี้ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เวลา นายอุตตม และ นายสนธิรัตน์ ถูกเขย่าจากกลุ่มอื่นภายในพรรค จะปรากฏภาพนายสมคิดไปนั่งรับประทานอาหารกับนายสุริยะและนายสมศักดิ์ ประหนึ่งเป็นการแสดงพลังอยู่เสมอ
แต่กับล่าสุดที่มีข่าวว่า นายสุริยะและแกนนำกลุ่มสามมิตรคนอื่นๆ ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคเปลี่ยนใจพร้อมจะยื่นใบลาออกจากกรรมการบริหารพรรค เพื่อไปเพิ่มเสียงให้กับกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนำโดย นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานวิปรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรีและประธาน ส.ส.พรรค นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เคยเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้จนเกินกึ่งหนึ่งแล้วนั้น
ตามข้อบังคับของพรรค หากมีกรรมการบริหารพรรคลาออกเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 18 เสียง จะทำให้กรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันพ้นสภาพ การทำแบบนี้เป็นเหมือนการส่งสัญญาณให้นายอุตตมรับรู้สถานการณ์และเลือกระหว่างจะลาออกเอง หรือยืนกรานต่อไป ซึ่งหากยืนกราน คนเหล่านี้ก็พร้อมจะยื่นใบลาออกจากกรรมการบริหารพรรค เพื่อกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันสิ้นสภาพลงโดยอัตโนมัติ
ท่าทีนี้ของกลุ่มสามมิตรถูกจับตามองอย่างมากว่า เหตุใดจึงผละออกจากนายสมคิด ซึ่งมีรายงานว่า นี่เป็นหมากต่อรองเท่านั้น และคนที่ต้องการส่งสัญญาณไปถึงคือ พล.อ.ประวิตร
อย่างที่รู้กันว่า เมื่อครั้งจัดตั้งคณะรัฐมนตรีมีการเปิดฉากแย่งชิงเก้าอี้ รมว.พลังงาน ระหว่างนายสุริยะกับนายณัฏฐพล แต่มีรายงานว่า นายสมคิดได้อธิบายกับนายสุริยะว่าควรจะปล่อยให้นายสนธิรัตน์เป็น ดีกว่าให้ตกไปอยู่กับกลุ่มอื่นในพรรค ทำให้นายสุริยะถอยไปนั่งเป็น รมว.อุตสาหกรรม
กระทั่งมีประเด็นกลุ่ม ส.ส.ที่ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประวิตร ต้องการจะเปลี่ยนหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคในรอบแรก แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะกลุ่มอื่นๆ ในพรรคที่เป็นกรรมการบริหารพรรค ทั้งกลุ่มสามมิตรและกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไม่เอาด้วย ทำให้เสียงไม่เพียงพอจึงต้องชะลอไป
การที่เสียงไม่เพียงพอนี่เอง เปิดช่องให้กลุ่มสามมิตรเปิดยุทธการ “หยั่งเชิง” ด้วยข่าวว่าพร้อมลาออกจากกรรมการบริหารพรรค เพื่อเพิ่มเสียงให้กับกลุ่ม ส.ส.ที่ใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร ทั้งที่ยังไม่มีการยื่นอย่างเป็นทางการ เพื่อต่อรองเก้าอี้ รมว.พลังงาน ให้กับนายสุริยะ
หากได้รับการตอบสนอง นายสุริยะก็พร้อมจะนำทีมสมทบเพื่อเพิ่มเสียง แต่หากถูกปฏิเสธ เพราะยังมีกลุ่มอื่นๆ ต้องการเก้าอี้ รมว.พลังงานเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มของนายณัฏฐพล ก็อาจจะตวัดกลับไปเป็นแบบเดิมคือ นิ่งเฉย
ขณะที่ นายสนธิรัตน์ นั้นก็มีข่าวว่าไปจับมือกับ ร.อ.ธรรมนัส เพื่อจะรักษาเก้าอี้ รมว.พลังงาน ไม่ให้ตกไปไหน เพราะนายสนธิรัตน์เองก็อยากจะเล่นการเมืองต่อ
สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเกมต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีกันก่อนที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังการพิจารณาพระราชกำหนดกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทเสร็จสิ้น
เก้าอี้ รมว.พลังงานจึงกลายมาเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางภายในพรรคพลังประชารัฐ
ทางด้านฝั่งของนายสมคิดเองซึ่งไร้กองหนุนในพรรค เนื่องจากถูกมองว่าไม่เคยให้ความช่วยเหลือหรือซัพพอร์ตใดๆ แก่ ส.ส. ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของ “น้ำเลี้ยง” หรือการกระจายความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ของ ส.ส. หากนายอุตตม นายสนธิรัตน์ และนายสุวิทย์ ต้องหลุดออกจากตำแหน่งผู้บริหารพรรค ซึ่งจะเกี่ยวพันกับเก้าอี้รัฐมนตรีที่จะต้องหลุดไปด้วย ต่อให้อยู่ได้ก็จะกลายเป็นคน “ขาลอย”
ต่อให้มีการเหนี่ยวรั้งให้อยู่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีต่อ แต่เมื่อไม่มีแขน ไม่มีขา ในกระทรวงต่างๆ ก็ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งมีข่าวว่าหากเป็นเช่นนั้นก็อาจจะตัดสินใจ “ไปแบบยกยวง”
ช่วงนี้จึงเป็นการประลองกำลัง เจรจาต่อรองผ่านสงครามข่าว ภายใต้นิยามที่ว่า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร หากผลประโยชน์
“ลงล็อก”!!!.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |