รอยึดทรัพย์13พธม.


เพิ่มเพื่อน    

  อัยการฝ่ายบังคับคดียื่นหนังสือ 13 แกนนำพันธมิตรฯ ชดใช้ 522 ล้านบาท ตามคำพิพากษากรณีปิดสนามบินแล้ว "สุวัตร" เผยจำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอในการชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษา รอยึดทรัพย์ขายทอดตลาด ฟ้องล้มละลาย

    มีรายงานว่า สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 มีหนังสือแจ้งชำระหนี้ตามคำพิพากษา  แนบพร้อมด้วยสำเนาหมายบังคับคดีแพ่ง คดีหมายเลขดำที่ 6453, 6474/2551 ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา ถึง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี, นายนรัญยู หรือศรัณยู วงษ์กระจ่าง, นายสำราญ รอดเพชร, นายศิริชัย ไม้งาม, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และนายเทิดภูมิ ใจดี แกนนำและแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)

    โดยหนังสือแจ้งชำระหนี้มีเนื้อหาว่า สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 ได้รับสำเนาหมายการบังคับคดีจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด มหาชน (ทอท.) โจทก์ มาดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดี จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 แจ้งให้บุคคลทั้ง 13 ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งที่ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้ง 13 คน ร่วมกันชำระหนี้ จำนวน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ธ.ค.2551 

    และให้ร่วมกันชำระค่าธรรมเนียมและทนายความแทนโจทก์เป็นเงิน 597,847 บาท ให้แก่ ทอท.โจทก์ มิเช่นนั้นโจทก์จะนำพนักงานบังคับคดีไปยึดอายัดทรัพย์สินของบุคคลทั้ง 13 คน ขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์

    สำหรับคดีนี้ ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 สำนักงานอัยการสูงสุด มีอำนาจที่จะสามารถดำเนินการบังคับคดีในนามของรัฐที่หน่วยงานของรัฐเป็นโจทก์ ฟ้องเรียกค่าเสียหายในนามของรัฐได้ หากส่วนราชการเป็นผู้ชนะคดีตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการฯ โดยที่ไม่จำเป็นว่าคดีดังกล่าวอัยการจะเป็นโจทก์ฟ้องเองหรือไม่

    มูลเหตุคดีนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24 พ.ย.-3 ธ.ค. 2551 พวกจำเลยร่วมกันนำผู้ชุมนุมหลายหมื่นคนไปบุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง เพื่อประท้วงรัฐบาลและขับไล่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ทำให้การให้บริการต่างๆ ภายในท่าอากาศยานทั้งสองต้องหยุดลง

    สำหรับคดีนี้ มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อเดือน มิ.ย.2558 ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ 13 แกนนำ พธม.ร่วมกันชดใช้เงินกว่า 522 ล้านบาทแล้ว ต่อมา ทอท.โจทก์ ได้ขอให้ศาลออกหมายคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษา เนื่องจากจำเลยไม่ได้ยื่นฎีกาในระยะเวลา 

    กระทั่งต่อมา 13 แกนนำ พธม.ได้ยื่นคำขออนุญาตขยายฎีกาโดยอ้างเหตุสุดวิสัยการปิดหมายแจ้งคดี ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ต่อศาลแพ่งที่เป็นศาลชั้นต้น ปรากฏว่าศาลยกคำร้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 พ.ค.2559 โดยยกคำร้องเช่นเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีร่วมกันปิดสนามบินโดยชอบแล้ว 

    ในปี 2559 ทนายความผู้รับมอบอำนาจของ 13 แกนนำ พธม. จึงได้ยื่นฎีกาเกี่ยวกับคำขอขยายเวลาฎีกานี้ต่อศาลฎีกาอีก ซึ่งต่อมาวันที่ 21 ก.ย.2560 ศาลฎีกาได้ยกคำร้องขอขยายเวลาฎีกาของจำเลยแล้ว ผลแห่งคดีแพ่งนี้จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ 13 แกนนำ พธม.ร่วมกันชดใช้เงิน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งตกคนละประมาณ 40,166,226 บาทเศษ

    ส่วนในคดีอาญาปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ที่อัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง, นายสนธิ และแกนนำ พธม. กับผู้ชุมนุม รวม 98 รายต่อศาลอาญานั้น คดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ โดยรอสืบพยานอีกครั้งเดือน มี.ค.2561

    นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า แกนนำได้หนังสือการบังคับคดีที่อัยการ โดยได้มอบอำนาจจาก ทอท. โจทก์เจ้าหนี้เป็นผู้ดำเนินการติดตามการบังคับคดี ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นอำนาจของฝ่ายโจทก์เจ้าหนี้ ส่วนจำเลย ลูกหนี้ไม่มีอำนาจต่อรองการบังคับคดี 

    เขากล่าวว่า ฝ่ายจำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอในการชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าว ตามขั้นตอนจำเลยลูกหนี้คงไม่ต้องแจ้งอะไร เพราะว่าไม่มีทรัพย์สินมาชำระได้ โดยฝ่ายโจทก์ เจ้าหนี้ จะติดตามตรวจสอบดูทรัพย์สินของจำเลยแต่ละรายมีอะไรบ้าง เพียงพอชำระหนี้อย่างไร หากมีทรัพย์สินที่มีมูลค่าที่จะนำมาขายทอดตลาดได้ จะดำเนินการยึดอายัดมาประกาศขายทอดตลอดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา 

    นายสุวัตรกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การติดตามหาทรัพย์สินมาบังคับคดี จะมีเวลาดำเนินการ 10 ปี แต่ถ้าระหว่างนี้การตรวจสอบชัดเจนว่าจำเลยที่เป็นลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินที่มีมูลค่าจะนำมาขายทอดตลอดชำระหนี้ได้ โจทก์จะยื่นฟ้องเป็นคดีล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง ขอให้จำเลยที่มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินนั้นตกเป็นบุคคลล้มละลาย โดยระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ จำเลยทำได้เพียงหากมีการบังคับคดีไม่ชอบจึงจะยื่นคัดค้านได้

     นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. เปิดเผยว่า แม้จะทำใจไว้ล่วงหน้า แต่ยอมรับว่ายังรู้สึกเสียใจที่การแถลงความคืบหน้าการดำเนินการคดีต่างๆ ของ ป.ป.ช.ไม่มีการพูดถึงคดีสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 ทั้งที่เรา รวมทั้งญาติผู้เสียชีวิตพยายามติดตามทวงถามอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อัยการสูงสุดยังได้แจ้งคำพิพากษาศาลฎีกาให้ ป.ป.ช.ทราบ แต่ ป.ป.ช.ทั้งคณะยังคงเพิกเฉย ไม่มีการปฏิบัติ ไม่มีคำอธิบายการร้องขอสำนวนยกคำร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ เพื่อเปรียบเทียบมาตรฐานการใช้ดุลยพินิจกับกรณีสั่งฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ กับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง 

    "ผมกำลังสงสัยว่าทำไมเรื่องนี้ถึงต่างกับกรณีสุนัขพันธุ์บางแก้ว ซึ่งพอเป็นประเด็นก็มีข่าว ป.ป.ช.กำลังคิดปรับมูลค่าของขวัญที่ ครม.รับได้ให้เกิน 3,000 บาททันที กรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้จัดลำดับความสำคัญระหว่างเรื่องสุนัข 2 ตัวกับคนตาย 100 ชีวิตอย่างไร ทั้งนี้ ผมพร้อมเข้าพบและให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ทุกอย่างเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมในคดีนี้ถึงที่สุด สิ้นสงสัย การดำเนินการทุกขั้นตอนจะเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ผมต้องการเพียงความยุติธรรม ให้คดีคนตายนับร้อยไปถึงศาลแล้วสู้กันด้วยพยานหลักฐาน หลังจากนั้นก็ตามแต่ศาลจะพิพากษา" แกนนำ นปช.กล่าว

    นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า อย่าอ้างว่าศาลฎีกายกฟ้องไปแล้ว เพราะความจริงคือศาลเพียงชี้ว่าเรื่องนี้อยู่ในอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น ใครฆ่าใครตาย ใครใช้ ใครสั่งการ ยังเป็นกรณีต้องวินิจฉัย ทั้งนี้ สัปดาห์หน้าเราจะไปติดตามเรื่องนี้ที่ ป.ป.ช.อีกครั้ง เพราะกฎหมายให้สิทธิ์ว่าทำได้ กรรมการ ป.ป.ช.อาจกำลังมีความสุขที่ไม่ถูกเซตซีโร แต่คนจำนวนมากจะมีความทุกข์ ถ้าท่านเซตซีโรความยุติธรรมในคดีนี้ ท่านอาจนั่งทับเรื่องนี้อยู่ได้ถึง 9 ปี แต่คงต้องแลกกับการแบกคำถามไปตลอดชีวิต ว่าทำไมจึงไม่ปรากฏความยุติธรรมที่เป็นมาตรฐานเดียวในคดีนี้.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"