"บิ๊กตู่" ให้สังคมตัดสินยิงเลเซอร์ช่วงโควิด-19 เหมาะสมหรือไม่ "จักรทิพย์" รับเผือกร้อนสั่ง บช.น.เป็นแม่งานรวบรวมความผิด "จตุพร" ดีดปากโฆษกกลาโหม ขู่ถ้าไม่สงบปากสงบคำจะยิ่งกว่าน้ำผึ้งหยดเดียว "ทั่นเต้น" ขนพลพรรคฝ่ายแค้นออกบทความรำลึก 10 ปีสลายเสื้อแดง
เมื่อวันอังคารที่ 12 พ.ค.ยังคงมีความต่อเนื่องกรณีการยิงแสงเลเซอร์ข้อความ #ตามหาความจริง ตามสถานที่เชิงสัญลักษณ์ในเหตุการณ์พฤษภาคม ปี 2553 ทั้งเขตวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร และข้างตึกกระทรวงกลาโหม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเรื่องนี้ว่า สื่อมวลชนถามหลายคำถาม ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์เรื่องความมั่นคง ซึ่งคงไม่ตอบในเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง ต้องไปพิจารณาดูว่ามีความผิดอะไรกันหรือเปล่า ซึ่งการกระทำแบบนั้นในช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ในการจะนำหลายๆ เรื่องมาพัวพันกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งกำลังแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนเพราะประชาชนกำลังเดือดร้อน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่กำลังดูอยู่ เมื่อถามว่าเป็นลักษณะของการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่าไม่ และเมื่อถามว่ามีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการกระทำของคณะก้าวหน้าหรือไม่ รองนายกฯ ตอบว่ายังไม่รู้ กำลังดูอยู่
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวเช่นกันว่า "ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เคยได้ยิน" และเมื่อถามว่าการกระทำเช่นนี้จะผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่าไม่ทราบ
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม กล่าวสั้นๆ ถึงกรณีคณะก้าวหน้ายอมรับว่าเป็นผู้ยิงข้อความเลเซอร์ที่ตึกของกระทรวงกลาโหม ว่าเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เรียกประชุมติดตามความคืบหน้ากรณีดังกล่าว โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร.กล่าวก่อนประชุมว่า ฝากไปยังกลุ่มผู้ที่ก่อเหตุ หากทำอะไรก็ต้องระวัง อย่าทำให้เป็นความขัดแย้งของคนในชาติ ซึ่งขณะนี้ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิดใดบ้าง ทั้งนี้ตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีการเตรียมเรียกบุคคลใดเข้ามาสอบปากคำ
มีรายงานว่า เนื่องจากมีการยิงเลเซอร์ในหลายท้องที่ของนครบาล พล.ต.อ.จักรทิพย์จึงสั่งให้ศูนย์สืบสวน บช.น.เป็นแม่งานรวบรวมพยานหลักฐาน และพิจารณาว่าพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดใด
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ร่วมกันเฝ้าติดตามสถานการณ์ เท่าที่ทราบในช่วงเดือนนี้มีผู้ที่ต้องการให้สังคมเกิดความสับสน หรือนำเรื่องของคดีความที่ถึงที่สุดแล้วมาเล่าให้ประชาชนฟังใหม่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาความผิดที่เกิดขึ้น และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ฝ่ายความมั่นคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
“การค้นหาความจริงทุกเรื่องกระบวนการที่มีคำตอบในตัวเองและมีช่องในการติดตาม ขณะนี้รัฐบาลร่วมมือป้องกันแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 อยากฝากผู้ที่ทำให้ไปดูการกระทำมันสุ่มเสี่ยงกฎหมายด้วย ส่วนที่พรรคการเมืองหนึ่งออกมาแถลงอยู่เบื้องหลังวิดีโอยิงเลเซอร์นั้น ตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้ว กำลังให้ฝ่ายกฎหมายไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนใครกระทำความผิด ผิดกฎหมายใดบ้าง ดำเนินการตามขั้นตอนปกติเหมือนความผิดอาญาทั่วไป" พ.ต.อ.กฤษณะกล่าว
ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกพรรค ได้ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ตอบโต้โฆษกกลาโหมที่ตำหนิการยิงเลเซอร์ว่าไม่เหมาะสม ว่าอยากถามกลับ 3 ข้อว่า 1.การที่ทหารใช้กระสุนจริงยิงประชาชนนี่เหมาะสมหรือ 2.10 ปีแล้ว กระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้า หาคนผิดไม่ได้นี่เหมาะสมหรือ และ 3.ต้องเงียบๆ ยอมตายฟรี ถึงจะไม่สร้างความแตกแยกหรือ ซึ่งถ้า กห.คิดว่ายิงเลเซอร์ไม่เหมาะสม พร้อมเปิดเวทีสาธารณะแบบออนไลน์เอาประเด็นมาดีเบตไลฟ์สดกับตัวแทนประชาชนไหม
"ปลายกระบอกปืนของทหารควรหันไปหาอริราชศัตรู หาใช่หันไปหาประชาชน ผู้เป็นเจ้าของเงินที่ใช้ซื้อมัน หากสิ่งที่ทหารกลุ่มหนึ่งกระทำในวันนั้นยังไม่ถูกชำระ ผู้กระทำความผิดยังไม่ถูกลงโทษ ภาพลักษณ์ของทหารก็ยังคงตกต่ำ และยากที่จะกู้กลับมาได้ คำว่ากล้าหาญมักถูกใช้กับทหาร แต่ทหารกลุ่มหนึ่งไม่คู่ควรกับคำนี้เลย เพราะไม่เคยรับผิดในสิ่งที่เคยก่อขึ้น คนพวกนี้ไม่ใช่กล้าหาญ จริงๆ คำว่าทหารก็ไม่ควรใช้ กล้ากับคนมือเปล่า กล้ารุมคนไม่มีทางสู้ นี่เขาไม่เรียกว่ากล้า เขาเรียกว่ากุ๊ย"
นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กสั้นๆ ว่า "ขวัญอ่อน กลัวความจริง พร้อมหนุนเผด็จการ แต่เก่งกับประชาชนมือเปล่า สั่งเอาผิดคนยิงเลเซอร์ แต่ไม่สนใจทหารที่ยิงหัวประชาชน"
ขณะที่เพจเฟซบุ๊กคณะก้าวหน้า - Progressive Movement โพสต์ข้อความระบุว่า "กี่ครั้งที่ประชาชนมือเปล่า ถูกสังหารอย่างเลือดเย็น กี่ครั้งที่ผู้ฆ่าและผู้สั่งฆ่า ไม่เพียงไม่ต้องรับโทษ แต่ยังเติบใหญ่ในเส้นทางอำนาจ ทุกครั้งความจริงถูกทำให้เลือนหาย ความยุติธรรมไม่เคยมาถึง พอกันทีกับการที่ขอเพียงมีอำนาจล้นฟ้าจะลงมือฆ่าคนเป็นร้อยก็ไม่ผิด ฝากไปถึงผู้มีอำนาจว่า ไม่ต้องตามหาให้เหนื่อยแรงอีกต่อไปว่าใครคือคนที่ฉายแสงสว่างส่องหาความจริง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือพวกเรา 'ประชาชน' คนธรรมดาที่กำลังร่วมกัน #ตามหาความจริง"
ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ PEACE TALK ผ่านเฟซบุ๊กว่า "การยิงเลเซอร์ตามหาความจริงนั้น ถ้า พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห.ไม่ออกมาให้ข่าวว่ามีการทำเป็นกระบวนการ เป็นการกระทำไม่เหมาะสม ต้องใช้กฎหมายเอาผิด ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กลับพยายามหลีกเลี่ยงจะพูดถึงอีก ซึ่งถ้ายิ่งดิ้นมาก เหตุการณ์ความขัดแย้งต่างๆ จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ความจริงได้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่โชคร้ายอยู่ที่คนตายเป็นคนเสื้อแดง ถ้าฝ่ายกองทัพหัดสงบปากสงบคำกันเสียบ้าง ไม่พูดจะตายมั้ย เพราะถ้าพูดยิ่งท้าทาย เพราะความจริงสามารถหากันได้ไปหมดในแต่ละด้าน แต่ละเรื่อง แต่ละเหตุการณ์"
นายจตุพรย้ำว่า "โฆษก กห.ต้องระมัดระวัง ในสถานการณ์อันละเอียดอ่อนแบบนี้ ถ้าคิดว่าวิธีการนำเสนอในปัจจุบันนั้น คิดว่าอำนาจสามารถทำอะไรก็ได้ ซึ่งตนมองว่าไม่ใช่ ถ้าท้ากันไปมา น้ำผึ้งหยดเดียวเอาไม่อยู่ และถ้ากองทัพไม่หยุด ก็เจอกันทุกวัน ไม่มีปัญหา"
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวว่า ยังมีแนวคิดจัดงานใหญ่รำลึก 10 ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุม นปช. เมษา-พฤษภา 2553 โดยจะปรับเป็นกิจกรรมออนไลน์เหมือนที่เคยจัดไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยจัดในวันที่ 19 พ.ค.ซึ่งได้เชิญบุคคลหลากหลาย อาทิ นายนิธิ เอียวศรีวงศ์, นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ, นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นต้น มาร่วมเขียนบทความรำลึก
"การพูดถึงความสูญเสียของประชาชนเกือบร้อยชีวิต จึงหมายถึงความพยายามคลี่คลายสถานการณ์ด้วยความจริงและหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นทางออกเดียวของวิกฤตินี้ ถ้าคนเกือบร้อยชีวิตถูกสังหารกลางเมืองหลวงแล้วเข้าถึงความยุติธรรมไม่ได้ การพูดเรื่องปรองดอง ประชาธิปไตย หรือแม้กระทั่งปฏิรูปอย่างที่ผู้มีอำนาจประกาศมาตลอดก็ไม่มีความหมาย วันที่ 19 พ.ค.ติดตามเนื้อหาสาระ 10 ปี เมษา-พฤษภา 53 ได้ตั้งแต่ช่วงเช้า จะมีบทความรำลึกของบุคคลต่างๆ เผยแพร่ตลอดทั้งวัน"
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ควรออกมาชี้แจงว่าพรรคก้าวไกลยินยอมให้ น.ส.พรรณิการ์และคณะก้าวหน้าควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมทางการเมืองดังกล่าวหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่เป็นการกระทำของกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.พรรคก้าวไกลทั้งสิ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมาย โดยมีโทษถูกยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
"คณะก้าวหน้าควรเลิกหมกหมุ่นกับอดีตให้สมกับชื่อกลุ่มที่ต้องการเดินหน้า แสวงหาอนาคตอันศิวิไลซ์มิใช่หรือ ไม่ใช่ย้อนเวลาหาอดีตที่มีแต่จะสร้างความเกลียดชังขึ้นในสังคม และนำไปสู่ความขัดแย้งที่มีแต่จะพาประเทศดำดิ่งไปสู่ความยากจน ความทุกข์ เพียงเพราะจะเอาชนะทางการเมืองเท่านั้นหรือ" น.ส.ทิพานันกล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |