เรียกว่าธุรกิจส่วนกระแสโควิดจริงๆสำหรับ เปิ้ล-นาคร ศิลาชัย ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเพิ่งประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่ม ทั้งที่บริษัทอื่นๆร้านอื่นๆต้องปิดตัวลงเพราะทนพิษเศรษฐกิจไม่ไหว ล่าสุด เปิ้ล ควงภรรยาคนสวย จูน กษมา มาเปิดใจผ่านรายการคุยแซ่บSHOW
อยู่บ้านช่วงโควิด-19 ทำอะไรกันบ้าง?
เปิ้ล : เยอะมาก เด็กพวกนี้เขาตื่นนอนตั้งแต่ 6 โมงเช้า บางคน 7 โมง มีพี่ออคนเดียวตื่น 10 โมง คือปกตินอนทุ่มนึง แต่นี่นอนเที่ยงคืน กิจกรรมในบ้านเราเยอะมาก ก่อนหน้านี้เชื้อไหมว่าวัฒนธรรมครอบครัวของเราเนี่ย เป็นวัฒนธรรมที่ไม่ปกติ เพราะว่าจูนเป็นคนที่บ้างาน ต่างคนต่างทำงาน พอทำงานเสร็จเราต้องไปดูร้านอาหารต่ออีก กว่าจะกลับมาลูกหลับไปแล้ว พอเช้ามาลูกตื่นไปโรงเรียนเรายังไม่ตื่น เชื่อไหมเป็นเวลาหลายปีมากที่วัฒนธรรมในครอบครัวเราเจอหน้ากันอาทิตย์หนึ่งวันเดียวหรือสองวันแบบเต็มๆ
อยู่ด้วยกันบ่อยๆทะเลาะกันเรื่องอะไรมากที่สุด?
เปิ้ล : ณ ตอนนี้จะเป็นเรื่องที่จูนบ่นกับลูก ปกติเราไปทำงานจะไม่ค่อยเห็นจูนบ่น พออยู่บ้านด้วยกันทุกวัน เอาแล้ว ทำไมทำน้ำหก ทำไมทะเลาะกัน เสียงดังอีกแล้ว บ่นอย่างนี้ทุกวันๆ เราก็บอกจูนมันเป็นชีวิตของลูก บางทีเราต้องปล่อยให้เขาซน
จูน : คือ 24 ชม.มันไม่ได้ไง คือเขาจะเป็นคนใจเย็นแล้วนิ่ง คือลูกจะตีกันคือนั่งมองให้ลูกตีกัน ลูกตีกันก็เอามือถือมาอัดคลิป พี่นึกออกไหมจะเอายอดไลก์ตลอดไม่ได้ไง เราปวดประสาทไง ไหนจะอยู่บ้าน ไหนจะงานข้างนอก เราก็ต้องแผดเสียงออกไปบ้าง
เปิ้ล : มันเป็นเพราะชีวิตพี่เปิ้ลอิสระมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่อายุ 14 ปี ไม่เคยมีพ่อแม่ มาด่า ห้าม จนกระทั่งเราโต พี่เปิ้ลจะเป็นคนที่ไม่มีใครมาห้ามอะไรเลยในชีวิต คือจูนเขาก็อย่านั่น อย่านี่ อย่านู่น คือแบบเยอะมาก พี่เปิ้ลก็เลยรู้สึกว่าตอนเด็กๆจูนถูกห้ามอย่างนี้มาทั้งชีวิตหรือเปล่า จูนใครเลี้ยงจูนตอนเด็ก
วันนี้เป็นวันที่ดีที่ร้านคุณเปิดที่บางนา?
เปิ้ล : ใน 2 อาทิตย์นี้เราเปิดไปแล้ว 2 สาขา
ในสถานการณ์แบบนี้คนได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่ธุรกิจปิดตัว แต่ของพี่เปิ้ลถึงกับต้องรับพนักงานเพิ่ม?
เปิ้ล : ใช่ เรามีธุรกิจอีกธุรกิจหนึ่งคือธุรกิจแรกเป็นหลักของเราคือมาดามกัสก้า บริษัทของจูนที่ทำเกี่ยวกับบิ้วตี้ อีกธุรกิจหนึ่งคือร้านอาหาร ซึ่งธุรกิจนี้พี่คิดจะทำเล่นๆเอาไว้เทคแคร์ดูแลเพื่อน ก็ไปเรื่อยๆไม่ได้คิดอะไร แต่พอเกิดวิกฤตนี้ขึ้นมาปั๊บยอดขายแบบทุกคนเป็นหมด จนเราคิดว่าจะปิดร้านอาหาร แต่พอเราประกาศว่าจะปิดปุ๊บพนักงานร้องไห้ เรากลับไปนอนคิดว่าทำไมเราปิดหนี ในขณะที่คนอื่นไม่ถนัดเรื่องธุรกิจเลย พอตกงานต้องมาทำอาหารที่เขาไม่ถนัด แต่เรานี่โคตรถนัดเลย กลับไปคิดอีกที ไม่ปิดแล้ว ทำเมนูอาหารใหม่ เปิดขายเดลิเวอร์ลี่ ปรากฎวว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลย ยอดขายถล่มทลาย ยอดขาดดีกว่าเดิม พอเรามาคำนวณเหตุการณ์ในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า พฤติกรรมของคนมันเปลี่ยนแปลงแน่นอน พอมันเกิดเดลิเวอร์ลี่ปัญหาของลูกค้าเราคือค่ารถ ซื้ออาหาร 500 แต่ค่ารถ 600 เราก็เลยจะแก้ไขปัญหานี้ได้ยังไง ง่ายนิดเดียว คุยกับจูน พี่จะเปิดเพิ่ม 10 สาขาเลย ไปอยู่ใกล้ๆคุณแล้วกัน วันพฤหัสบดีนี้จะเปิดสาขาที่3
ซึ่งตอนนี้สวนกระแสมาก คนอื่นปลดพนักงาน แต่ของพี่รับพนักงานเพิ่ม?
เปิ้ล : ใช่ถ้าโปรเจ็กต์นี้สำเร็จคนจะมีงานทำอีกเกือบร้อยคน พนักงานของเราเองมีอยู่แล้วสามารถให้เงินเดือนเขาเต็ม จากการพลิกวิกฤตตรงนี้ คือตัวพี่เปิ้ลเองจะมาทำให้เห็นถึงเวลาแล้วต้องมาโกยเพื่อให้รวยมันไม่ใช่ มันอยากให้ทุกคนเห็นว่าทุกคนมีมือ มีเท้า ลองเปลี่ยนวิธีคิดดู แล้วหาทางเอาตัวรอดกัน
ทีมงานบอกว่าพี่แอบทำหนังอยู่ ซึ่ง 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมาต้องเป็นวันโชว์หนังแล้ว?
เปิ้ล : คือธุรกิจหนังก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งของบริษัทอีกบริษัทหนึ่ง อุตส่าห์ปิดเงียบกะว่าเมษายน-พฤษภาคม เซอร์ไพรส์เลย ถ่ายไว้เรียบร้อยแล้วกะว่าเตรียมแผนการตลาด ปรากฏว่าโควิดมา แล้วลงไปหลายสิบล้าน จะฉายอาทิตย์ที่แล้ว แล้วกะว่าไม่บอกใคร คือมันถ่ายไว้ 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว ทีนี้ปัญหาคือโรงหนังจะเข้าได้เมื่อไหร่
เราจะได้ดูไหม?
เปิ้ล : บอกไม่ได้ บอกไปก็อายเขา ถามว่าจะได้ดูเมื่อไหร่ ไม่รู้เมื่อไหร่ที่จะหาวัคซีนมาได้
จูน : ก็โรงหนังเปิด จังหวะได้ก็ได้ค่ะ