การดึงราคาน้ำมันจากวิกฤติโควิด-19


เพิ่มเพื่อน    

 

        ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) เมื่อปลายเมษายนลดฮวบมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

            ประการแรก ความขัดแย้งระหว่างผู้ผลิตน้ำมัน

            เมื่อกลุ่มโอเปกกับนอกโอเปก (non-OPEC) ที่มีรัสเซียเป็นแกนนำไม่สามารถทำข้อตกลงฉบับใหม่ กลายเป็นว่านับจากนี้ใครจะผลิตเท่าไหร่ก็ได้ เข้าสู่ภาวะไร้โควตา

            ต่างโทษอีกฝ่ายว่าเป็นต้นเหตุทำให้ระบบโควตาล่ม รัฐบาลซาอุฯ ถือว่าเป็นสงครามราคาครั้งใหม่ ร่วมกับพรรคพวกของตนเร่งผลิตน้ำมันส่งออกให้มากที่สุด มีข้อมูลว่าเดือนเมษา. กลุ่มโอเปกผลิตน้ำมัน 30.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.61 ล้านบาร์เรลเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านั้น ซาอุฯ ผลิตมากที่สุดถึง 11.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน

            ประการที่ 2 โควิด-19

            ท่ามกลางความขัดแย้งของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน สถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรนาโควิด-19 แพร่ระบาดหนักขึ้นตามลำดับ จากเอเชียสู่ยุโรปและอเมริกา มาตรการปิดเมืองปิดประเทศเพื่อกักโรคลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างรวดเร็ว เป็นที่กังวลว่าการแพร่ระบาดจะยืดเยื้อยาวนาน Morgan Stanley ประเมินว่าต้องรอจนถึงสิ้นปี 2021 กว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นสู่ระดับปี 2019 เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยน ถ้ายึดแนวคิดของ Morgan Stanley จะต้องใช้เวลาอีก 20 เดือนกว่าเศรษฐกิจสังคมจะฟื้นสู่ปกติ

                ประการที่ 3 ระบบซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า

            เมื่ออุปสงค์ลดฮวบแต่อุปทานเพิ่มผิดปกติ จึงเป็นเหตุให้น้ำมันในคลังสำรองต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดประเด็นหาที่เก็บไม่ได้หรือมีค่าใช้จ่ายสูงมาก นักลงทุนในตลาดซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าตอบสนองอย่างรวดเร็ว ราคาน้ำมัน WTI เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงอย่างรุนแรง

            การจะดึงราคาน้ำมันให้ขึ้นมาอีกครั้งขึ้นกับทั้ง 3 ปัจจัย โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างผู้ผลิตน้ำมันและโรคระบาด

            การเบี่ยงประเด็น :

            ถ้ามองในมุมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีเรื่องน่าสนใจคือการเบี่ยงเบนประเด็น ดังนี้

            จนถึงทุกวันนี้โอเปกคือกลุ่มความร่วมมือเพียงกลุ่มเดียวที่มีฐานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ ส่วนประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่ไม่อยู่ในกลุ่มนี้มีการจับกลุ่ม ขนานนามว่า “กลุ่มนอกโอเปก” (non-OPEC) โดยมีรัสเซียเป็นแกนนำ

            ในเหตุการณ์ล่าสุดมีคำใหม่เกิดขึ้นคือคำว่า “OPEC+” (โอเปกพลัส) ไม่ใช่องค์กรเป็นเพียงชื่อกลุ่มที่ถูกตั้งขึ้นลอยๆ

            OPEC+ เป็นชื่อเรียกประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่รวมกลุ่มโอเปกกับนอกโอเปกเข้าด้วยกัน ชื่อที่ถูกเอ่ยถึงเป็นประจำคือซาอุฯ กับรัสเซีย 2 แกนนำสำคัญ และมักถูกนำเสนอว่าราคาน้ำมันดิบโลกขึ้นกับการเจรจาต่อรองของสมาชิกกลุ่มนี้

            ประเด็นคือ การใช้คำ OPEC+ และมักเอ่ยนามซาอุฯ กับรัสเซียเป็นการเบี่ยงเบนประเด็น ตัดสหรัฐผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลกออกไป ราคาน้ำมันดิบโลกจะแพงหรือถูกขึ้นกับ OPEC+ ไม่เกี่ยวกับสหรัฐ อีกทั้งรัฐบาลสหรัฐกำลังทำหน้าที่ประสานให้ซาอุฯ กับรัสเซียเลิกขัดแย้งด้วย โดยเฉพาะประธานาธิบดีทรัมป์ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เริ่มจากขู่ว่าจะขึ้นภาษีน้ำมันซาอุฯ ต่อมาขู่ว่าจะไม่สนับสนุนช่วยเหลือทางทหารแก่ซาอุฯ อย่างเคย

            แม้พูดชัดแต่ความหมายกำกวม เพราะเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าซาอุฯ เป็นพันธมิตรความมั่นคงทางทหาร คำว่าลดการสนับสนุนมีความหมายอย่างไร ระงับการเป็นพันธมิตรหรือไม่ จะถอนทหารอเมริกัน 3,000 นายออกจากซาอุฯ หรือเปล่า หรือไม่ขายอาวุธบางชิ้นแก่ซาอุฯ ผู้เป็นลูกค้ารายใหญ่ยอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ในยุคทรัมป์ หากทำจริงจะส่งผลต่อความมั่นคงภูมิภาคอย่างไร ยุทธศาสตร์ต่อต้านอิหร่าน สงครามต่อต้านก่อการร้าย กระทบความมั่นคงด้านพลังงานหรือไม่

            ไม่แน่ใจว่าประธานาธิบดีทรัมป์คิดลงรายละเอียดเหล่านี้

            มองอีกมุมหนึ่งคือไม่มีอะไรน่าสนใจ เป็นแนวทางเดิมๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่พูดอะไรก็ได้ พูดไปเรื่อยๆ จริงบ้างเท็จบ้าง ถ้อยคำเหล่านั้นจะจางหายไปเอง ไม่ต้องคิดอะไรมาก ดูได้จากผลลัพธ์สุดท้ายว่าการเจรจาลดกำลังผลิตชั่วคราวบรรลุผล ส่วนความดุเดือดของถ้อยคำ ความไม่แน่นอนขณะเจรจาเป็นเพียงกระบวนการหรืออาจเป็นเพียงปาหี่เท่านั้น เพื่อให้พระเอกได้แสดงบทบาท

            คำถาม ปรับลดเท่าไหร่ ตามโควตาเดิมใช่ไหม :

            ถ้ายึดระบบโควตาเดิมการปรับลดอุปทานย่อมทำได้ง่ายโดยปรับตามสัดส่วน แต่ดังที่นำเสนอข้างต้นว่าในหมู่ประเทศผู้ส่งออกกำลังขัดแย้งซึ่งน่าจะเป็นเรื่องโควตาใหม่ นี่คือปริศนาระบบโควตาน้ำมันโลก ใครเป็นคนกำหนด มีกฎเกณฑ์อย่างไร ทำไมปรับขึ้นลงในสัดส่วนไม่เท่ากัน และทำไมจึงยังตกลงกันไม่ได้ ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันสูงหรือต่ำเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน

            ถ้ามองเฉพาะสหรัฐซึ่งผลิต 12-13 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะต้องปรับลดเท่าไหร่ ในข้อตกลงปรับลด 9.7 ล้านบาร์เรลล่าสุด ไม่ปรากฏว่าสหรัฐเกี่ยวข้องด้วย ต้นเดือนเมษายนประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจะไม่ลดกำลังผลิตเด็ดขาด พร้อมกับกล่าวว่ารัฐบาลกำลังออกหลายมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมน้ำมัน รวมทั้งให้เก็บน้ำมันเอกชนในแหล่งเก็บน้ำมันสำรองแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม 2-3 วันต่อมาทรัมป์เปลี่ยนท่าที ประกาศว่าอาจพิจารณาลดกำลังการผลิต ยืนยันจะปกป้องแรงงานในอุตสาหกรรมน้ำมันอเมริกา และกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่าตอนนี้สหรัฐเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1 ของโลก

            ข้อมูลบางชิ้นอ้างว่าเหตุที่สหรัฐปรับลดไม่ได้เพราะติดข้อกฎหมายตัวเอง แต่ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีพอ

            ต่อมามีข่าวว่าผู้ผลิตน้ำมันชั้นหินดินดานในสหรัฐจะลดกำลังการผลิต 150,000 บาร์เรลต่อวัน ในเดือนพฤษภาคมกับมิถุนายน 6 บริษัทที่จะปรับลดกำลังผลิต ได้แก่ Continental Resources, Cimarex Energy, ConocoPhillips, PDC Energy, Parsley Energy และ Enerplus Corporation

            จะเห็นว่าจริงๆ แล้ว สหรัฐปรับลดเช่นกัน แต่ไม่ปรากฏบนข้อตกลงของ OPEC+ ที่นำเสนอต่อสาธารณะ ราวกับว่าสหรัฐอยู่ในฐานะ “ลอยตัว” ไม่เกี่ยวข้องกับระบบโควตามาตรฐาน จากนี้ไปควรตามต่อว่าสหรัฐจะทำจริงหรือไม่ ท้ายที่สุดยอดผลิตและส่งออกของสหรัฐเป็นเท่าไร ซึ่งจะช่วยตอบคำถามเรื่องโควตาน้ำมัน ผลการเจรจาต่อรอง

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นอิทธิพลของบรรษัทน้ำมันสหรัฐต่อรัฐบาลตนเอง จนรัฐบาลต้องออกนโยบายสนับสนุนบรรษัท และในแง่หนึ่งต้องพูดว่ารัฐบาลทำงานปกป้องดูแลผลประโยชน์ของบริษัท ส่งเสริมการจ้างงานในประเทศ เป็นไปตามทฤษฎีการเมืองทั่วไป

            โควิด-19 ช่วยเข้าใจปริศนาโควตาน้ำมันดิบโลก :

            ในขณะที่อุปทานน้ำมันจะลดลง 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน มีผู้ประเมินว่าปัจจัยโควิด-19 ทำให้อุปสงค์น้ำมันดิบโลกลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น ถ้าพิจารณาเฉพาะปัจจัยนี้หากจะดึงราคาน้ำมันต้องปรับลดกำลังผลิตให้ได้อย่างน้อย 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน

            ถ้ามองในแง่บวกครึ่งปีหลังกิจกรรมเศรษฐกิจฟื้นตัว การปรับลดแค่ 9.7 ล้านบาร์เรลอาจเพียงพอ หรืออยู่ในระดับที่รับได้ ถ้ามองในแง่ลบ หากเกิดแพร่ระบาดระลอก 2 หรือยืดเยื้อกว่าคาด ใช้มาตรการปิดเมืองปิดประเทศอย่างเข้มข้นอีกครั้ง เมื่อนั้นกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันน่าจะปรับลดกำลังผลิตเพื่อดึงราคาอีกครั้ง เพราะนั่นคือรายได้หลัก ความเป็นความตายของประเทศของพวกเขา

            และเมื่อนั้นโลกจะอาจเข้าใจระบบโควตาน้ำมันมากขึ้น ชี้ให้เห็นอำนาจต่อรองของแต่ละประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปมา ใครมีอำนาจมากย่อมต่อรองได้มาก ผลประโยชน์ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งอย่างเท่าเทียม ข้อมูลเหล่านี้น่าจะเปิดเผยในรายงานสรุปยอดส่งออกนำเข้าน้ำมันดิบโลกฉบับปีหน้า.

 

----------------------

 

ภาพ : การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ

 

ที่มา : https://www.opec.org/opec_web/en/publications/338.htm 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"