เกาะกั๊ตบา: เบียร์สด หาดทราย และชายสูงวัย


เพิ่มเพื่อน    

 

 

        กั๊ตบาอยู่ในอ่าวฮาลอง (Ha Long Bay) แต่หากจะพูดให้ตรงต้องบอกว่าเกาะกั๊ตบาอยู่ในอ่าวลานฮา (Lan Ha Bay) ส่วนต่อขยายของอ่าวฮาลอง เกาะกั๊ตบามีขนาดถึง 285 ตารางกิโลเมตร ขณะที่อ่าวฮาลองในเขตชั้นใน (Core Zone) มีเกาะเล็กเกาะน้อยรวม 775 เกาะ กินพื้นที่ 334 ตารางกิโลเมตร พูดได้ว่ากั๊ตบาเกาะเดียวใหญ่เกือบเท่ากับอ่าวฮาลองในเขตชั้นใน ทว่าสองส่วนนี้อยู่กันคนละสังกัด อ่าวฮาลองขึ้นกับจังหวัดกว่างนิงห์ ด้านเกาะกั๊ตบาขึ้นกับเมืองไฮฟอง ซึ่งไฮฟองเป็น 1 ใน 5 เมืองของเวียดนามที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง อีก 4 เมืองที่เหลือได้แก่ ฮานอย โฮจิมินห์ ดานัง และเกิ่นเทอ


ทางเดินเลียบอ่าวใกล้ท่าเรือกั๊ตบา

            เมื่อ 6 ปีก่อน ผมเคยซื้อทัวร์เดินทางจากฮานอยไปอ่าวฮาลอง แพ็กเกจมีให้เลือก 2 แบบ คือ 2 วัน 1 คืน และ 3 วัน 2 คืน ผมซื้อแบบแรก ได้นอนค้างคืนในห้องพักของเรือ หากซื้อแบบหลัง คืนที่ 2 ก็จะได้นอนที่เกาะกั๊ตบาแห่งนี้ เพราะเกาะกั๊ตบาเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่เกาะในอ่าวฮาลองที่มีผู้คนอยู่อาศัยและมีโรงแรมที่พัก โดยโรงแรมที่พักส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ไม่ห่างจากท่าเรือกั๊ตบา

            เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วผมได้เล่าถึงการได้พบเจอกับพ่อลูกจากนครโฮจิมินห์ซิตีคู่หนึ่งระหว่างรอขึ้นเรือมาด้วยกันจากเมืองไฮฟอง ฝ่ายคุณพ่อคงจะอายุประมาณ 70 ปี แกชื่อ “ซุง” เขียนว่า Dung ทำให้ผมนึกถึงชื่อของอดีตประธานาธิบดีเวียดนามใต้ที่ฝรั่งและคนไทยส่วนใหญ่ออกเสียงเป็น “โง ดิน เดียม” เพราะเขียน Ngô Đình Dim แต่ชาวเวียดนามออกเสียงว่า “โม ดิง เซียม”

            ภาษาเวียดนามนั้นแค่พยัญชนะต้น เช่นในกรณีนี้คือตัว D เขียนต่างกันก็จะออกเสียงต่างกัน แล้วพอมาดูสระก็พบว่ามีเครื่องหมายต่างๆ ขีดล่างขีดบนเอียงซ้ายเอียงขวาเพิ่มเติมเข้ามามากมาย เรียกว่า Diacritic (เครื่องหมายกำกับการอ่านออกเสียง) ทำให้เดาทางการอ่านภาษาเวียดนามไม่ออกเลย อย่างเมืองใกล้ทะเลทางใต้ของประเทศที่ชื่อ Nha Trang พิธีกรรายการทีวีของไทยหัวทิ่มไปหลายคนแล้ว เพราะไปอ่านว่า “นา ตรัง” แต่ที่จริงออกเสียงว่า “ยา จาง”


หาดกั๊ตกอ 1 มองจากทางเดินลงหาด

            ในอดีตนั้นเวียดนามเคยถูกยึดครองโดยจีนอยู่นับพันปี คำศัพท์ในภาษาเวียดนามส่วนมากเป็นคำยืมจากภาษาจีน เช่นเดียวกับภาษาเขียนที่คล้ายคลึง เมื่อได้รับอิสรภาพเด็ดขาดจากจีนก็ไม่ค่อยอยากใช้ภาษาจีนเพราะแค้นเคืองไม่หาย ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีมิชชันนารีจากโปรตุเกสและอิตาลีเข้ามาในเวียดนาม พวกหมอสอนศาสนาแปลและถ่ายทอดภาษาของทั้งสองฝ่ายไปมา จนสุดท้ายเวียดนามได้ใช้ภาษาละตินในรูปแบบเฉพาะที่ปรับจากภาษาโปรตุเกสในการเขียนการอ่านมาจนถึงทุกวันนี้

            มิสเตอร์ซุงและลูกสาววัยกลางคนที่จนบัดนี้ผมก็ไม่เคยทราบว่าเธอชื่ออะไร มีน้ำใจกับผมมากตลอดที่นั่งรอเรือและโดยสารเรือมาด้วยกัน เมื่อเรือจอดแล้วทั้งสองก็หาที่นั่งแถวลานกว้างหน้าท่าเรือเพื่อรอคนมารับเข้าที่พัก ผมลาทั้งคู่เดินไปยังโรงแรมที่ได้จองไว้ ระหว่างนั่งมาในเรือ มิสเตอร์ซุงกล่าวอย่างมั่นใจว่า “พบกันใหม่”


หาดกั๊ตกอ 1 ยามเย็น

            ผมขออธิบายลักษณะตัวเมืองเล็กๆ นี้สักหน่อย ท่าเรือกั๊ตบาตั้งอยู่ในอ่าวฝั่งตะวันตก ใกล้ๆ กับปลายแหลมหรือติ่งด้านใต้สุดของเกาะ เมื่อขึ้นจากท่าเรือแล้วเดินลอดซุ้มประตูโค้งออกไปเราจะพบกับลานกว้าง มีบ่อน้ำพุตรงกลาง ในภาษาอังกฤษอาจเรียกว่า “สแควร์” แปลว่า “จัตุรัส” แม้ว่าจะไม่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมก็ตาม หลังลานกว้างนี้ก็เป็นถนนเส้นหลัก 6 เลนทอดผ่านย่านหน้าท่าเรือ ชื่อถนน Mot Thang Tu ด้านหลังถนนมีโรงแรมที่พักราคาประหยัด ความสูงเฉลี่ยประมาณ 5 ชั้นเรียงกันไปทั้งทางซ้ายและทางขวา ระหว่างโรงแรมก็มีร้านอาหาร ผับ บาร์ แซมอยู่เป็นระยะ ด้านหลังของกลุ่มอาคารพวกนี้คือแนวของภูเขาหินปูน เหมือนกับว่าโรงแรมสร้างประจันหน้าทะเลและหลังพิงอยู่กับภูเขา เวลาจองห้องพักแบบออนไลน์มักจะมีให้เลือก “วิวทะเล” และ “วิวภูเขา” ท่านอย่าได้เลือก “วิวภูเขา” เป็นอันขาด เพราะจะมองไม่เห็นอะไรนอกจากหินผาในระยะประชิด นอกจากว่าท่านชอบมันจริงๆ

            หากเดินตรงจากท่าเรือผ่านลานกว้าง ข้ามถนนไปจะมีถนนชื่อ Nui Ngoc ตัดไปจากถนน Mot Thang Tu ขึ้นเนินไปทางทิศเหนือเรื่อยๆ มีซอยย่อยเล็กๆ มากมายตัดไปจากถนน Nui Ngoc อีกที แล้วยังมีถนนที่ตัดจากถนน Nui Ngoc นี้ไปเชื่อมกับถนน Cai Beo ที่นำไปสู่เมืองชั้นในของเกาะกั๊ตบา รวมถึงอีกฝั่งของเกาะ ส่วนถนน Nui Ngoc สุดท้ายก็วาดเส้นโค้งไปทางด้านขวาแล้วดิ่งตรงกลับลงใต้เป็นรูปคล้ายตัว U กลับหัวมาบรรจบกับถนน Mot Thang Tu ทำให้เห็นเหมือนว่ามีถนน Nui Ngoc 2 เส้น และระหว่างถนน Nui Ngoc  2 เส้นนี้มีทางเชื่อมกันอยู่ด้วยเส้นหนึ่ง


รถชัตเทิลไฟฟ้าวิ่งให้บริการผ่านย่านท่าเรือกั๊ตบา

            ที่พักของผมอยู่ในซอยหนึ่งบนถนน Nui Ngoc ห่างจากท่าเรือประมาณ 800 เมตร เจ้าของหนุ่มชื่อ “เทียน” พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก เสนอแพ็กเกจทัวร์ต่างๆ เป็นชุด มีทั้งทัวร์อ่าวฮาลอง ทัวร์พาเรือคายัคดูแพลงก์ตอนเรืองแสงตอนกลางคืน ทัวร์อุทยานแห่งชาติกั๊ตบา ทัวร์เกาะลิง ฯลฯ เขาย้ำให้คอนเฟิร์มภายใน 4 โมงเย็นเพื่อจะได้สำรองที่ได้ทันเวลาสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ เผอิญผมจำเป็นต้องเขียนคอลัมน์เบื้องหน้าที่ปรากฏในวันพรุ่งนี้พอดี จึงไม่ได้เลือกทัวร์สักรายการเดียว

            ค่าที่พักตกเป็นเงินไทยคืนละ 320 บาทเท่านั้น คงเป็นเพราะช่วงนี้ (กลางพฤศจิกายน) เป็นตอนปลายของฤดูกาลท่องเที่ยวคาบเกี่ยวกับมรสุมที่ใกล้จะมาเยือน ผมจะจ่ายเงินทันทีแต่เทียนยังไม่เก็บ ผิดกับโรงแรมขนาดเล็กส่วนใหญ่ที่มักจะเก็บเงินก่อนเข้าพัก ผมมองว่าวิธีของเทียนส่งผลดีกับธุรกิจมากกว่า เพราะอย่างน้อยก็ได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจเล็กๆ ให้กับลูกค้าโดยไม่ต้องลงทุนอะไร อีกเหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะเขาหวังจะขายทัวร์และขายตั๋วต่างๆ แล้วค่อยเก็บตอนเช็กเอาต์ทีเดียว

            ผู้ช่วยของเทียนซึ่งเป็นอีกคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก นำผมขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพัก ผมถามถึงบริการซักผ้า เขาก็บอกให้นำเสื้อผ้าลงไปที่ล็อบบี้ พรุ่งนี้เช้ารับผ้าคืนได้เลย ราคากิโลกรัมละ 40,000 ดอง ผมทราบทีหลังว่าทางโรงแรมเอาไปส่งร้านซักรีดอีกต่อ น่าจะกินส่วนต่างนิดๆ หน่อยๆ

            ห้องพักที่ได้เป็นแบบเตียงแฝด มีโต๊ะทำงานตามที่ผมขอไปตอนกดจอง แต่ได้วิวเป็นตึกข้างๆ ที่น่าจะเป็นโรงแรมเหมือนกัน ไม่ตรงตามที่ระบุ ห้องน้ำสะอาดดีแต่ฝักบัวน้ำไหลเบาเอื่อยและปรับระดับไม่ได้ เมื่อคิดถึงราคาแสนถูกก็เลยไม่รู้สึกขุ่นใจใดๆ หยิบเสื้อผ้าใส่ถุงเดินลงไปให้ผู้ช่วยของเทียนแล้วเดินไปหามื้อเที่ยงบนถนนริมทะเล ได้กินข้าวผัดทะเลจานยักษ์ราคาประมาณ 100 บาท ข้าวผัดแห้ง แข็งและเคี้ยวยาก ผมลืมไปว่าสั่งข้าวผัดเวียดนามทีไรได้แบบนี้ตลอด จากนั้นเดินหาร้านกาแฟแต่ไม่ถูกใจสักร้าน กะจะเดินไปป้อมปืนใหญ่ (Cannon Fort) ความสูง 177 เมตร ที่โด่งดังด้วยวิวงามแต่ดันมาปิดเอาช่วงนี้พอดี สุดท้ายเดินผ่านท่าเรือลงไปทางใต้ ก่อนจะถึงปลายแหลมของเกาะก็เลี้ยวซ้ายไปตามถนนออกสู่อีกฝั่งเกาะ ถึงหาดกั๊ตกอ 1 (Cat Co 1)


​​​​​​​บางส่วนของแพร้านอาหารในอ่าวใกล้ท่าเรือกั๊ตบา

            หาดกั๊ตกอมีอยู่ด้วยกัน 3 แห่ง เป็นเวิ้งอ่าวเล็กๆ เรียงกันคล้ายรูปตัว U กลับหัว 3 ตัว เรียกกั๊ตกอ 3, กั๊ตกอ 1 และกั๊ตกอ 2 ตามลำดับจากใต้ขึ้นเหนือ เหมือนอ่าวทั้งสามของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์แต่ 3 อ่าวของกั๊ตบานี้มีขนาดเล็กกว่ามาก อีกทั้งมีทรายสวยเนียนสะอาดและชายหาดกว้าง สามารถจัดทีมเตะฟุตบอลชายหาดได้สบาย น่าเสียดายอยู่อย่างเดียว หาดกั๊ตกอคล้ายจะมีเจ้าของที่ชื่อ Cat Ba Sunrise Resort & Spa ที่อยู่ด้านบนของหาดฝั่งขวา ใครจะจอดมอเตอร์ไซค์ก็ต้องจ่ายเงิน เข้าใจว่าเป็นเจ้าของทางลงหาด รวมถึงบาร์เครื่องดื่มหลังหาดด้วย ผมนั่งมองน้ำมองฟ้าและผู้คนบนชายหาด เพลิดเพลินอยู่ได้แค่หมดเบียร์ 1 ขวดก็เดินขึ้นด้านบนหวังจะเดินต่อไปหาดกั๊ตกอ 2 ทางขวามือ แต่กำลังมีการก่อสร้างรีสอร์ตชื่อ Flamingo อยู่ ทำให้ทางถูกปิดก็เลยต้องเดินกลับ

            ในอ่าวใกล้ท่าเรือมีร้านอาหารเรือนแพลอยให้บริการอยู่หลายเจ้า นอกจากอาหารแล้วก็ยังสำราญกันต่อด้วยคาราโอเกะหากว่าถนัดทางนี้ ถัดออกไปเป็นเรือเล็กเรือน้อยของชาวประมงจำนวนนับไม่ถ้วน ล้วนลอยอยู่บนแผ่นน้ำสีทองที่ฉาบลงมาโดยพระอาทิตย์ยามกำลังลาลับฟ้า

            ก่อนจะเข้าที่พักผมแวะที่ร้าน The Big Man ตรงหัวถนน Nui Ngoc สั่งเบียร์สดที่ร้านผลิตเองชื่อ Big Man Beer นั่งดื่มบนโต๊ะที่วางบนบาทวิถี ต้องยอมรับว่าเบียร์รสชาติดีมาก ออกไปทางสไตล์เบียร์ Pilsner ของยุโรป จนต้องสั่งแก้วที่ 2 ตอนเช็กบิลบริกรหนุ่มคิดแค่ 1 แก้ว บอกว่าซื้อ 1 แถม 1 ราคาแก้วละ 10,000 ดองเท่านั้น หรือตกเป็นเงินไทยราวๆ 15 บาท เป็นเหตุให้เมื่อกลับไปอาบน้ำที่โรงแรมแล้วต้องกลับมาใช้บริการใหม่ โดยก่อนเข้าร้านได้แวะซื้อกล้วยแขกสไตล์เวียดนาม แม่ค้านั่งทอดริมถนน กล้วยติดกันเป็นแพทำให้กินยาก ส่วนรสชาตินั้นก็เทียบกล้วยแขกบ้านเราไม่ติด

            รอบที่ 2 ในร้าน The Big Man ผมขึ้นไปชั้นบน พบว่ามีลักษณะกึ่งๆ สปอร์ตบาร์ ที่นั่งบริเวณบาร์เคาน์เตอร์และโต๊ะนั่งธรรมดาฝรั่งนักท่องเที่ยวนั่งอยู่กันเต็มทุกตัว ผมต้องนั่งบนโต๊ะกลมขายาวเก้าอี้สูง สั่งชุดสตูเห็ด-ข้าวเปล่าแต่ไม่ขอรับข้าวเปล่าเพราะมีเบียร์อยู่แล้ว หนุ่มบริกรเสนอให้เปลี่ยนข้าวเป็นมันฝรั่งทอดผมก็เชื่อฟังตามนั้น มีดีเจฝรั่งเล่นเพลง EDM สลับกับดีเจเวียดนาม ปกติผมมักจะหันหลังให้เพลงแนวนี้แต่บางช่วงของคืนนี้ก็พอฟังไหว กระทั่งเกินทานจะฟังได้นั่นเองจึงขอเช็กบิล เบียร์สด Big Man ยังคงซื้อ 1 แถม 1 เหมือนเดิม

            ผมมาหาข้อมูลในภายหลังด้วยสงสัยในรสชาติเบียร์ที่ดีเกินคาด พบว่า Big Man เป็นเบียร์ของ Vinaken Brewery เริ่มตั้งโรงเบียร์ขึ้นมาเมื่อ 15 ปีก่อนนี้เอง เครื่องมือและมาตรฐานการผลิตสูง วัตถุดิบสั่งมาจากเยอรมนี เช็ก เบลเยียม และเดนมาร์ก ทำให้เบียร์มีคุณภาพระดับเดียวกับเบียร์จากยุโรป นอกจากเจ้า Big Man แล้วก็ยังมีเบียร์อื่นๆ อีกสี่-ห้าแบรนด์


​​​​​​​พระอาทิตย์ใกล้ตกระหว่างเดินไปหาดกั๊ตกอ

            ส่วนร้านอาหาร The Big Man นั้นเปิดไว้เพื่อเป็นสถานที่ให้คอเบียร์ได้ทดลองดื่มเบียร์สดของพวกเขาในเมืองต่างๆ ทั่วเวียดนาม ขณะนี้ Vinaken Brewery ทำการตลาดแล้วในหลายประเทศ รวมทั้งเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆ เรา อย่างสิงคโปร์, มาเลเซีย, กัมพูชา และจีน ส่วนเมืองไทยหากเข้ามาเมื่อไหร่ก็มั่นใจได้ว่าแพงหูฉี่เพราะกำแพงภาษีสูงลิบ

            เช้าวันต่อมาผมกินมื้อเช้าที่โรงแรมจัดให้ โดยรวมอยู่ในค่าที่พักเรียบร้อยแล้ว ผมเลือกชาร้อนเป็นเครื่องดื่มเพราะเก็บกาแฟไว้กินที่ร้านของมืออาชีพชื่อ Start Up บริเวณหน้าปากซอย ผมดื่มเอสเปรสโซ่แล้วแปลกใจ มีรสหวานทิ้งค้างบนเพดานปากแม้ไม่ได้ใส่น้ำตาล บาริสต้าสาวให้ข้อมูลว่าเป็นกาแฟโรบัสต้าจากพื้นที่สูงในเมืองดาลัต เอสเปรสโซ่ถ้วยนี้ราคา 35,000 ดอง ถือว่าราคาสูงสำหรับกาแฟในเวียดนาม แต่คุณภาพก็สูงตามไปด้วยนั่นเอง

            ดื่มเสร็จไม่ทันไรกาแฟออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ผมกลับไปเขียนคอลัมน์ในห้องพักจนเที่ยง ออกไปกินข้าวในร้านอาหารริมถนน Nui Ngoc แล้วกลับไปเขียนต่อจน 4 โมงเย็นแล้วออกเดินหมายจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่คาเฟ่ชื่อ Le Pont Club ใกล้ๆ ปลายแหลมของเกาะ แต่แสงแดดจ้าแทงตาจนต้องเดินเลี้ยวซ้ายตัดไปยังหาดกั๊ตกอ 3 ตามมุมมองของผมกั๊ตกอ 3 สวยกว่ากั๊ตกอ 1 แต่ไม่ว่าจะกั๊ตกอไหนก็มี Cat Ba Sunrise Resort เป็นเจ้าของอยู่บนหาดเหมือนๆ กัน

            ระหว่างเดินเล่นอยู่บนชายหาดก็มีคนร้องทักมาแต่ไกลว่า “เฮลโล” เป็นเสียงจากพี่ผู้หญิง ลูกสาวมิสเตอร์ซุง เธอเดินบนระเบียงทางเดินเลียบทะเลอยู่กับเพื่อนผู้หญิงอีกคน ทั้งคู่คงเดินมาจากหาดกั๊ตกอ 1 พี่ผู้หญิงลงมายังหาดกั๊ตกอ 3 เดินมาบอกผมให้ไปหามิสเตอร์ซุงที่อยู่ในบาร์ริมหาด แล้วเธอก็พูดขึ้นว่า “มิสเตอร์ซุงเป็นพ่อฉันนะ” คงคิดว่าผมอาจเข้าใจไปเป็นอย่างอื่นเพราะทั้งคู่ไม่เคยบอกว่าเป็นพ่อลูกกัน


​​​​​​​เวิ้งอ่าวเล็กๆ ชื่อกั๊ตกอ 3

            มิสเตอร์ซุงกำลังนั่งดื่มน้ำมะพร้าวอยู่ แกยิ้มร่าที่เจอผม ตอนนี้เองที่ทราบว่าอายุของแกตั้ง 80 ปีแล้ว แต่ยังดูหนุ่มกว่าอายุอยู่มาก ฝ่ายพี่ผู้หญิงอัธยาศัยดีเหมือนพ่อ เธอเล่าให้ฟังว่ามีลูกสาว 1 คน อายุ 23 ปี พ่อของลูกสาวเป็นชาวรัสเซียและตอนนี้ลูกสาวก็อยู่ที่รัสเซีย ผมไม่ได้ถามอายุของเธอ เช่นเดียวกับที่ไม่ได้ถามว่าเลิกกับสามีหรือยัง มิสเตอร์ซุงรอให้ผมดื่มเบียร์หมดขวดแกก็ชวนไปกินมื้อเย็น โดยทั้งหมดเดินเท้ากันไป มิสเตอร์ซุงยังเดินได้คล่องแคล่วแข็งแรง

            ตอนแรกแกคงกะจะกินในร้านอาหารเรือนแพแต่ผิดพลาดอย่างไรไม่ทราบก็เดินกันต่อไปจนเข้าสู่ถนน Nui Ngoc ตรงที่มีทางเชื่อมกัน เพื่อนของพี่ผู้หญิงน่าจะเป็นคนแนะนำ ชื่อร้าน Yummy มาทราบตอนหลังว่าเป็นร้านดังของเกาะกั๊ตบา มี 2 สาขา โดยสาขาที่เรานั่งเป็นสาขาแรก ดูแล้วเป็นร้านธรรมดาๆ ขนาดก็ไม่ใหญ่ แต่ลูกค้าทั้งชาวเวียดนามและต่างชาตินั่งกันเต็มร้าน ฝ่ายผู้หญิงทั้งสองคนเป็นผู้สั่งอาหารมาสี่-ห้าอย่าง ผัดไทยเป็นหนึ่งในนั้น ก่อนจะลงมือกินมิสเตอร์ซุงนำชุดถุงยาออกมาแล้วจัดการปักเข็มลงที่หน้าท้องของตัวเอง หันมาบอกผมว่าฉีดยาโรคเบาหวาน


​​​​​​​อีกมุมของหาดกั๊ตกอ 3

            อาหารร้านนี้โดยรวมแล้วอร่อยดี ยกเว้นผัดไทยที่คงเป็นแบบฉบับเวียดนาม มิสเตอร์ซุงจ่ายเงินแล้วชวนผมเดินต่อไปโรงแรมของแกอีกราว 500 เมตร สั่งให้คนในโรงแรมยกชุดน้ำชาออกมา พวกเรานั่งดื่มนั่งคุยในล็อบบี้จนได้เวลาเหมาะสมผมก็ขอตัว

            มิสเตอร์ซุงขอเป็นเพื่อนกับผมในเฟซบุ๊ก กำชับกำชาให้ผมส่งข่าวหากมีโอกาสได้เดินทางไปนครโฮจิมินห์ บ้านของแก

            “ผมจะขับรถพาคุณเที่ยว” แกพูดพลางทำท่าทางมือถือพวงมาลัย.

 

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"