หลังๆ นี้...ดูเหมือนว่าใครต่อใครในบ้านเรา จะหันมาให้ความเอาจริง-เอาจัง กับ เศรษฐกิจพอเพียง อย่างเป็นเนื้อ เป็นหนัง อยู่พอสมควร ชนิดไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือผู้ที่ไม่ถึงกับชอบขี้หน้ารัฐบาลมากมายซักเท่าไหร่ แต่ก็พร้อมที่จะแสดงออกถึงความร่วมมือ ร่วมใจ พร้อมให้ความยอมรับ ว่าทางออก ทางรอด เท่าที่พอเหลือๆ ของประเทศไทย ในโลกยุค COVID-19 ก็น่าจะเหลืออยู่แค่ทางนี้เท่านั้น....
---------------------------------------------
เรียกว่า...กระทั่งผู้ที่ได้ชื่อ ฉายา ว่า ป๋าดัน อย่างท่านรองนายกฯ เฮียกวง-สมคิด จากที่เคยมีบุคลิกลักษณะออกไปทางคล้ายๆ เทรนเนอร์มวยชาวอิตาเลียน อย่าง แองเจโล ดันดี คือหนักไปทางดันโน่น ดันนี่ ตั้งหน้า ตั้งตา ดันตัวเลขจีดีพี ตัวเลขการส่งออก ตัวเลขการลงทุนต่างประเทศ ฯลฯ กะจะเป็นฮับโน่น ฮับนี่ มาโดยตลอด แต่หลังๆ นี้ หรือเมื่อช่วงปลายเดือนเมษา.ที่ผ่านมานี่เอง ระหว่างการประชุมพบปะกับทีมงานเศรษฐกิจไม่ว่าจากสภาพัฒน์ หรือจากหน่วยงานอื่นๆ คำพูดที่ออกจะติดปาก ป๋าดัน ท่าน ก็เห็นจะเป็นคำพูดว่าด้วยการโน้มนำเอา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นี่แหละ มาใช้เป็นเข็มทิศ แนวทางเป็นทางออก ทางรอด ของประเทศในระยะต่อไปให้จงได้...
----------------------------------------------
คือแม้จะต้องดัน หรือต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ กันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แต่การเปลี่ยนหันมาให้น้ำหนักไปที่ เศรษฐกิจชุมชน หันมากระตุ้นเกษตรดั้งเดิม เกษตรชุมชน เกษตรอินทรีย์ ฯลฯ โดยโน้มนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นธงนำ กันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ หรืออย่างเข้มข้นเอาจริง-เอาจัง กว่าครั้งที่สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ ยันต์กันผี อะไรประมาณนั้น อันนี้...ต้องเรียกว่า น่าปลาบปลื้ม และน่าชื่นชม เป็นอย่างยิ่ง ส่วนจะถูกนำไปปฏิบัติ ไปแปรรูป ไปประยุกต์ ออกมาในแบบไหน อย่างไรนั้น ก็คงต้องขึ้นอยู่กับความ เข้าถึง และ เข้าใจ ของบรรดาผู้ปฏิบัติ หรือผู้ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบ ในภาคส่วนต่างๆ จะว่ากันไปตามสภาพ...
------------------------------------------------
แต่แม้ผู้ที่ไม่ใช่รัฐบาล หรืออาจไม่ถึงกับชอบขี้หน้ารัฐบาลมากมายซักเท่าไหร่ ก็มีอยู่บางกลุ่ม บางราย อีกเช่นกัน ที่ถึงขั้นคิดควักเอาเงินส่วนตัวออกมาก่อรูป ก่อร่าง ให้กลายเป็นเศรษฐกิจชุมชน หรือเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม พร้อมประสานความร่วมมือกับวัด กับชุมชน อย่างเช่น ชุมชนสันติอโศก เป็นต้น เพื่อให้เกิด เศรษฐกิจดุลยธรรม หรือเศรษฐกิจอันมีความพอเพียง พอประมาณ เป็นพื้นฐาน มีความมีเหตุ มีผล หรือมี สติ เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งและยึดโยง ไม่ให้ต้องเกิดความ โลภ ไปตามแรงกระตุ้นจากเศรษฐกิจแบบ ตลาด อย่างเท่าที่เคยเป็นมาในอดีต...
----------------------------------------------
ยิ่งถ้าหากบรรดาผู้ที่ชอบ หรือไม่ชอบรัฐบาลก็แล้วแต่ แต่ออกจะชอบ เงิน อย่างเป็นพิเศษ อย่างบรรดาพวกเศรษฐี หรืออภิมหาเศรษฐีด้วยแล้ว หันมามองเห็นทางออก ทางรอด ในลักษณะที่ว่านี้ โอกาสที่ประเทศไทย สังคมไทย จะไปโลด หรือไปรอด จากภาวะความเป็นไปของเศรษฐกิจโลกช่วงนี้ ที่แทบไม่มี ตำราเศรษฐศาสตร์ เล่มใดๆ หรือสำนักไหนๆ พอที่จะ เอาอยู่ ได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งน่าจะมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เพราะถ้าไล่ลงมาตั้งมาอภิมหาเศรษฐี เศรษฐี ปุถุชนคนธรรมดา ไปยันถึงยาจก เกิดความร่วมมือ ร่วมใจ ถึงขั้นพร้อมที่จะปรับเปลี่ยน ความขาดทุน ให้กลายเป็น กำไร หรือพร้อมที่จะ ให้ พร้อมที่จะแบ่งปัน เจือจาน ทั้งความสุขและทุกข์ เพื่อให้สังคมทั้งสังคมอยู่รอด ปลอดภัย Our Loss ย่อมมีโอกาสแปรสภาพให้กลายเป็น Our Gain ได้เสมอๆ...
----------------------------------------------
ดังนั้น...แม้ว่าท่ามกลางบรรยากาศที่ผู้คนในประเทศไทย หรือในระดับทั่วทั้งโลก ต่างกำลังวิตกกังวล ไม่ว่าเพราะกลัว อดตาย หรือเพราะกลัว เป็นโรคตาย จนไม่รู้ว่าจะหาทางออก ทางไป ในทางไหนกันแน่!!! จะกลับไปสู่ ความปกติแบบเก่า ที่แม้พอได้อิ่มท้อง แต่โอกาสที่จะตายโหง ตายห่า ตายไปพร้อมกับเสรีภาพแห่งทุนนิยม อันเต็มไปด้วย ช่องว่าง เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ และปราศจากการแบ่งปัน เจือจาน ก็ดูจะเป็นทางออกที่ไม่ค่อยได้ให้คุณค่าต่อสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพ หรือแม้กระทั่งสิทธิมนุษยชน สิทธิความเป็นมนุษย์ มากมายซักเท่าไหร่นัก เพราะออกจะเป็นเสรีภาพแบบ มือใครยาว-สาวได้สาวเอา ที่ทำให้คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ มีแต่ลดน้อยถอยลงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น แม้จะยังมีชีวิตอยู่ หรือยังไม่ติดเชื้อก็แล้วแต่...
----------------------------------------------------------
และในเมื่อ ความปกติแบบเก่า มันกำลังใกล้พัง หรือกำลังทำให้แต่ละประเทศมีแต่ เดี้ยง...กับ...เดี้ยง ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าตัวเลขจีดีพี ตัวเลขการส่งออก การลงทุน ฯลฯ ล้วนแต่เกินกำลังกว่า ป๋าดัน รายใดจะรับไหว หรือจะดันให้กลับไปสู่จุดเดิมๆ ได้ง่ายๆ การหันมามองหา ความปกติแบบใหม่ ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ หรือการใช้ชีวิตของผู้คน ที่พอจะช่วยไม่ให้ต้อง อดตาย และ เป็นโรคตาย ด้วยกันทั้งคู่ ก็น่าจะหนีไม่พ้นไปจากสิ่งที่เรียกว่า หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ผู้ซึ่งถือเป็น ภูมิปัญญาสังคม และ จิตวิญญาณแห่งสังคม ท่านทิ้งไว้เป็นมรดกให้ประเทศไทย สังคมไทย ขณะที่ท่านยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั่นแล...
-----------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก “John Stuart Mill” (อีกครั้ง)... “I have learn to seek my happiness by limiting my desires, rather than in attempting to satisfy them.- ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะแสวงหาความสุข ด้วยการจำกัดความอยากของข้าพเจ้า แทนที่จะพยายามสนองตอบต่อความอยากนั้นๆ...”.
--------------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |