4 พ.ค. 63 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ Peace Talk เผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดีย โดยเรียกร้องให้นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ต้องขอโทษประชาชน จากกรณีที่ให้สัมภาษณ์เมื่อ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ด้วยการดูถูก เหยียดหยามผู้มาขอรับเงินเยียวยา 5,000 บาท
นายจตุพร กล่าวว่า ในวันที่ 5 พ.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะเปิดให้ประชาชนมายื่นคำร้องเพื่อรับเงินเยียวยา 5,000 บาทอีกครั้ง ดังนั้น สิ่งที่ตนอยากเห็นคือ ปลัดกระทรวงการคลังต้องออกมาขอโทษประชาชนก่อนเป็นลำดับเรก ถ้าไม่ขอโทษ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องขอโทษแทน หากทั้งสองคนเฉย ไม่ยอมขอโทษแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องขอโทษประชาชน เพราะทัศนคติทางชนชั้นในยามยากลำบาก ไม่ควรจะเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ในสถานการณ์โควิด-19 แพร่เชื้อไวรัสนั้น บรรดาเจ้าสัว นายทุน คนรวยไม่มีใครทรุดตกอยู่ในความยากลำบาก แต่ประชาชนกลับทรุดหนัก ยากจน ตกงาน หิวโซ การเยียวยาเพื่อประทังชีวิตสมควรกระทำด้วยความรู้สึกที่ดี รวมทั้งรัฐบาล กระทรวงการคลัง แบงก์ชาติเข้าไปอุ้มกิจการขาดทุนในตลาดทุน หรือช่วยการบินไทย 5 หมื่นล้านเพื่อฟื้นฟูการบริหารที่ขาดทุนยังทำได้มาแล้ว
สำหรับการอุ้มการบินไทย 5 หมื่นล้านนั้น ตนยังไม่อยากเชื่อ เพราะมองเกมชั้นเดียวง่ายเกินไป ถ้าคิดแบบรัฐเข้าไปอุ้มเพื่อให้เกิดแรงต่อต้าน แล้วซุกซ่อนการครอบครองสมบัติชาติอย่างแท้จริงไว้นั้น ตนค่อนข้างมั่นใจว่า สุดท้ายการบินไทยจะวนกลับมาอยู่ในกำมือเอกชนเป็นเจ้าของอยู่ดี
“เวลานี้ผมไม่ไปกินเบ็ด หรือเข้าไปต้านการอุ้ม เนื่องจากรัฐเข้าไปอุ้มนั้นเป็นเกมหลอกให้คนต้าน เพื่อย้อนกลับมาเสนอให้เอกชนครอบครองเป็นเจ้าของ ผมจึงค่อนข้างเชื่อว่า สุดท้ายเอกชน เจ้าสัว นายทุนใหญ่ 1 ใน 20 มหาเศรษฐี หรือหลายรายจะมาเป็นเจ้าของการบินไทย ซึ่งเป็นสมบัติชาติ เพราะประเทศไม่มีทางเลือก” นายจตุพร ระบุ
ทั้งนี้ เมื่อพ้นโควิด-19 ระบาด และตลาดการบินเปิดขึ้น สายการบินเอกชนสามารถเอาตัวรอดได้ แต่การบินไทยกิจการของรัฐคงฟื้นยาก คงสู้เอกชนหรือต่างชาติลำบากเนื่องจากการบริหารมีความเป็นมืออาชีพน้อย เมื่อปีนี้อุ้ม 5 หมื่นล้าน เชื่อว่าปีหน้าคงต้องอุ้มอีกอยู่ดี นานเข้าก็ไม่ไหว จึงเกิดภาวะอัดอั้นกับการอุ้ม ดังนั้น การแปรไปเป็นของเอกชนจะเป็นหนทางสุดท้าย
นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณีการติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มที่จังหวัดยะลา 40 รายจากการตรวจหาเชื้อเชิงรุกนั้น นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ระบุยังไม่ยืนยัน แต่จะตรวจซ้ำกันอีกรอบว่า ถ้าผลตรวจเชิงรุกของยะลาครั้งแรก เมื่อนำมาตรวจซ้ำและได้รับยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว คงทำให้วุ่นวายแน่นอน เพราะถ้ามีการตรวจเชิงรุกทั่วประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงภาพที่ยะลาแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลตรวจที่ โฆษก ศบค.จะแถลงทางการ
“หากตัวเลขติดเชื้อใหม่เพิ่ม 40 รายที่ยะลาเป็นจริง แสดงว่า การผ่อนคลายระยะที่สอง อาจต้องยุติลงตามคำประกาศล่วงหน้าของ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกำชับใน 14 วันของระยะ 1 ต้องไม่ให้ติดเชื้อเพิ่มเกิน 30 ราย” ประธาน นปช. ระบุ
ส่วนปราการณ์ผ่อนปรนให้ขายเหล้าได้เมื่อวานนี้ (3 พ.ค.) แล้วมีต่อแถวยาวรอซื้อเหล้านั้น ชี้ให้เห็นว่า ต้องคนผลิตเหล้าคงรวยขึ้นแน่นอน เพราะคนต่อแถวซื้อเหล้าตุนไว้ แต่สามารถดื่มคลายเครียดที่บ้านได้คนเดียว เพียงลำพังเท่านั้น ถึงที่สุดแล้ว สถานการณ์โควิด-19 เราแทบไม่รู้อนาคต จะจบลงเมื่อไร อย่างไร ถ้าสมมุติประเทศไทยชนะ แต่ไทยก็ไปไหนลำบากเพราะประเทศอื่นยังไม่ชนะ ดังนั้น ไทยคงอยู่ไม่ได้ลำพัง เพราะประเทศต้องเชื่อมกันทั้งโลก เหตุนี้ เราจึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความเป็นจริง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |