4 พ.ค. 63 - นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยถึงโครงการ “ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์” ที่สำนักงานศาลยุติธรรมจะนำมาใช้ในศาลทั่วประเทศว่าปัจจุบันปัญหาหนี้ที่เกิดจากสินเชื่อบุคคล บัตรเครดิต กู้ยืม เช่าทรัพย์และเช่าซื้อ รวมถึงกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ยังคงมีการฟ้องร้องเข้าสู่ชั้นศาลเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ใช่เพียงลูกหนี้ที่เกิดความเครียดจากการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี แต่เจ้าหนี้ก็ได้รับผลกระทบจากการที่ไม่ได้รับการชำระหนี้เช่นกัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ยิ่งในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในขณะนี้ ประชาชนหลายคนได้รับผลกระทบจากการที่ธุรกิจบางประเภทต้องปิดกิจการชั่วคราว หรือนำไปสู่การปิดกิจการอย่างถาวร พนักงานหลายคนถูกเลิกจ้างหรืออาจได้รับเงินเดือนน้อยลง ส่งผลให้รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในแต่ละเดือน ทำให้ต้องกู้หนี้ยืมสิน ซึ่งอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทที่เกิดจากการผิดสัญญาต่างๆ จนนำมาซึ่งการฟ้องร้องต่อศาลมากขึ้น
ดังนั้น เพื่อให้ข้อพิพาทสามารถยุติลงได้ด้วยความพึงพอใจและยังคงซึ่งความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองฝ่าย ศาลยุติธรรมจึงได้นำกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาใช้ควบคู่กับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนในการยุติข้อพิพาท ซึ่งสถิติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทคดีแพ่งของศาลยุติธรรมทั่วประเทศในปีงบประมาณ 2563 ช่วงระหว่างตุลาคม 2562 – มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา พบว่ามีปริมาณคดีที่เข้าสู่ศาลทั้งหมด 526,132 คดี ปริมาณคดีเข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ย 175,396 คดี (คิดเป็นร้อยละ 33.34) โดยสามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จ 139,955 คดี (คิดเป็นร้อยละ 79.79)
ทั้งนี้ หากประชาชนทั่วไปหรือนิติบุคคลที่มีข้อพิพาทและไม่สามารถตกลงกันเองได้ สามารถขอให้ศาลเป็นคนกลางช่วยให้คู่พิพาทเจรจาหาทางออกที่แต่ละฝ่ายสามารถยอมรับได้ ซึ่งโดยปกติหากคู่พิพาทที่ประสงค์จะนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ศาลจะกำหนดวันและเวลาที่คู่พิพาทสะดวกตรงกันเพื่อเข้าร่วมประชุมไกล่เกลี่ย แต่อย่างไรก็ดี หลายครั้งที่คู่พิพาทอาจอยู่ห่างกันโดยระยะทาง ไม่สะดวกที่จะเดินทาง หรือแม้กระทั่งคู่พิพาทไม่อยากจะเจอหน้ากัน รวมถึงเกิดความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ไม่กล้าออกจากบ้านหรือไปในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคที่มีผลต่อการตัดสินใจของคู่พิพาทว่าจะเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยหรือไม่
สำนักงานศาลยุติธรรมจึงได้นำนวัตกรรม “ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์” มาใช้ในศาลยุติธรรมทั่วประเทศ เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดความแออัดในการใช้ห้องประชุม ลดการเผชิญหน้า และยังทำให้คู่พิพาทสมัครใจและเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมากขึ้น โดยสำนักงานศาลยุติธรรมได้กำหนดแผนและวางแนวทางการให้บริการแก่ศาลยุติธรรมทั่วประเทศไปแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 และปัจจุบันมีศาลที่ได้เริ่มให้บริการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์แล้ว จำนวน 117 ศาล และกำลังทยอยเปิดให้บริการจนครบศาลชั้นต้นทั่วประเทศ
โดยภายหลังจากที่ศาลยุติธรรมทั่วประเทศได้เริ่มใช้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา พบว่ามีปริมาณข้อพิพาทคดีผู้บริโภคและคดีแพ่งที่ใช้วิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์แล้ว จำนวน 401 คดี และสามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จ 197 คดี (คิดเป็นร้อยละ 49.13) ทุนทรัพย์ที่ไกล่เกลี่ยสำเร็จ รวมทั้งสิ้น 60,883,616.34 บาท อย่างไรก็ตามสำนักงานศาลยุติธรรมตั้งเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้คู่พิพาทนำคดีเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยออนไลน์เพิ่มขึ้นและมีผลสำเร็จในการดำเนินการไกล่เกลี่ยร้อยละ 80 ของคดีที่เข้าสู่การไกล่เกลี่ยออนไลน์ทั้งหมด
สำหรับคู่พิพาทที่ประสงค์จะให้ศาลดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์นั้น สามารถดำเนินการได้ทั้งในชั้นก่อนฟ้องคดีต่อศาลและระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น หรือศาลชั้นอุทธรณ์-ฎีกา โดยยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีหรือต่อศาลที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือยื่นคำร้องผ่านระบบอีไฟล์ลิ่ง (e-Filing) มาพร้อมกับคำฟ้อง หรือยื่นผ่านระบบ CIOS (กรณีคดีอยู่ระหว่างพิจารณา) เมื่อศาลพิจารณารับเป็นคดีไกล่เกลี่ยแล้ว ศาลจะสอบถามความประสงค์ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รวมทั้งวันเวลาที่สะดวกเพื่อกำหนดนัดวันไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไปยังผู้ถูกร้องผ่านทางระบบ QR Code หากคู่พิพาทตอบรับเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยแล้ว ศาลจะกำหนดวันนัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและแจ้งให้คู่พิพาททั้งสองฝ่ายทราบต่อไป
ช่องทางการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์นั้น สามารถดำเนินการได้ผ่านทางระบบการประชุมทางจอภาพ (VDO/Web Conference), แอปพลิเคชัน Line, Chat Room, E-mail, VDO Call หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ตามที่คู่พิพาทสะดวก และหากคู่พิพาทสามารถตกลงกันได้ ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก็จะนัดวันเวลาที่คู่พิพาทสะดวกเพื่อมาทำบันทึกข้อตกลงที่ศาลต่อไป
นายสราวุธ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของคดีกู้ยืมของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งในแต่ละปีจะมีปริมาณการยื่นฟ้องคดีเป็นจำนวนมากในช่วงเดือนมิถุนายนนั้น สำนักงานศาลยุติธรรมมีแผนจะจัด “โครงการร่วมใจไกล่เกลี่ยออนไลน์” ในช่วงประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2563 เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ กยศ. ที่ต้องการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง หรือผู้ที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องคดีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แล้ว ได้เจรจาหาแนวทางแก้ไขหนี้และผ่อนผันการชำระหนี้ รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมให้คู่ความในคดีต่างๆ นำคดีเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ไม่ต้องรอให้เรื่องถึงขั้นตอนการดำเนินคดีทางศาล ซึ่งอาจจะใช้เวลาและเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก โดยคู่ความที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ยังกล่าวอีกว่า การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ถือเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการดำเนินงานที่สอดคล้องตามนโยบายของนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา ในการนำเทคโนโลยีมาใช้อำนวยความยุติธรรม โดยคำนึงถึงช่องทางอื่นที่สะดวกและประหยัดสำหรับประชาชนโดยที่คู่ความไม่ต้องเดินทางมาศาล อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนบทบาทของศาลในการใช้กระบวนการยุติธรรมทางเลือกบนพื้นฐานความสมัครใจของคู่ความ จึงอยากเชิญชวนประชาชนผู้มีอรรถคดีเลือกใช้บริการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ ซึ่งนอกจากคู่พิพาทจะสามารถเลือกทางออกได้ด้วยตนเองและเกิดความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย สร้างความปรองดองให้กลับมาอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุขแล้ว ยังช่วยให้คดีเสร็จสิ้นไปด้วยความรวดเร็ว เสียค่าใช้จ่ายน้อยลง และช่วยลดปริมาณคดีที่จะมีการฟ้องร้องต่อศาลอีกด้วย
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |