ถ้าหากการต่อสู้กับไวรัสโควิดที่ประเทศต่างๆ กำลังดำเนินอยู่นี้คือการสอบ ประเทศไทยของเรานั้นต้องสอบผ่านและได้คะแนนเป็น A ส่วนจะเป็น TOP ของการสอบครั้งนี้หรือไม่ คงต้องดูข้อมูลการดำเนินงานของประเทศอื่นๆ ด้วยการพิจารณาการลดจำนวนผู้ติดเชื้อให้ได้ทุกวันจนกลายเป็นศูนย์ มีคนที่รักษาหายในอัตราที่สูงกว่าคนที่ติดใหม่ มีการเอาใจใส่ดูแลคนที่มีอาการเป็นอย่างดี ที่ทำให้คนที่ติดเชื้อหายจากอาการป่วยมากกว่าคนที่เสียชีวิต นอกจากนั้นแล้ว ก็ต้องมีมาตรการต่างๆ ทางการแพทย์ ทางการปกครองที่ประกาศออกมาขอความร่วมมือจากประชาชน ออกเป็นกฎหมายบังคับบ้าง โดยมาตรการเหล่านั้น จะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกฝ่ายภายในประเทศ และมีตัวเลขเชิงประจักษ์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามาตรการต่างๆ เหล่านั้น เป็นแนวทางในการต่อสู้กับไวรัสโควิดได้อย่างแท้จริง
ประเทศไทยประกาศมาตรการเรื่องของการใส่หน้ากากและการล้างมือด้วยเจลหรือแอลกอฮอล์ตั้งแต่ครั้งเมื่อเราได้รับรู้เรื่องไวรัสโควิดในต้อนต้นๆ จนกระทั่งสินค้าทั้งสองอย่างนี้ขาดตลาด ต่อมาจึงมีการอธิบายโครงสร้างของไวรัสโควิดที่ทำให้เรารู้ว่าสบู่ ผงซักฟอก และน้ำยาล้างจานก็สามารถฆ่าไวรัสโควิดได้ เรื่องของเจลและแอลกอฮอล์ก็หมดไป ส่วนหน้ากากอนามัยซึ่งเป็นปัญหาในช่วงต้นนั้น ต่อมาเราก็ได้รับความรู้อีกว่าคนที่ไม่ป่วยหรือไม่ใช้บุคลากรทางการแพทย์นั้น สามารถใช้หน้ากากผ้าธรรมดาที่ไว้ใช้หน้ากากอนามัยได้ ก็เริ่มมีคนเย็บหน้ากากแจกบ้าง ขายบาง ทำให้ปัญหาเรื่องหน้ากากก็หมดไป โดยที่ประชาชนของประเทศไทยใส่หน้ากากและล้างมือกันบ่อยๆมากกว่า 90% ทำให้เราสามารถลดจำนวนคนติดเชื้อได้จนเกือบจะเป็นศูนย์แล้ว เพราะฉะนั้นถือว่าเราสอบผ่านตั้งแต่ต้น และเริ่มเก็บคะแนนมาเรื่อยๆ
แต่เราต้องตกใจ เหมือนคนที่เคยสอบได้คะแนนดี แล้วมาสอบตกในช่วงที่มีการแพร่เชื้อขนาดใหญ่ เพราะมีการติดเชื้อกันที่สนามมวยและจากสถานบันเทิง มีคนติดกันหลายคน และคนเหล่านี้มาจากหลายจังหวัด เมื่อติดเชื้อจากสนามมวยแล้วกลับไปยังภูมิลำเนา ก็เอาเชื้อไปติดคนในท้องถิ่น ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อกระจายไปยังต่างจังหวัด นอกจากนี้แล้ว เรายังมีแรงงานไทย นักเรียนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ หลายประเทศที่เป็นดินแดนเสี่ยง และเราจำเป็นต้องรับกลับ เพราะเขาเป็นคนไทย เขาย่อมต้องกลับมาเมืองไทยได้พวกที่มาในช่วงต้นๆ นั้น ทางรัฐบาลก็ได้แต่ขอร้องให้พวกเขากักตัวเอง และแยกออกจากญาติพี่น้อง แต่เราก็ไม่ได้รับความร่วมมือเต็มที่นัก ยังมีพวกที่กลับมาแล้ว ไปกินข้าวนอกบ้าน ไปเที่ยว รวมทั้งคนที่บริษัทให้หยุดอยู่กับบ้าน ตามหลักการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ก็ยังไปเที่ยวสนุกสนานกัน แทนที่จะอยู่บ้านตามเป้าหมายของการให้หยุดทำงาน
การที่มีคนติดเชื้อจำนวนมาก และมีคนไทยกลับจากต่างประเทศบางคนที่ไม่มีวินัย ไม่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐบาลแนะนำ จนทำให้เราต้องหาทางที่จะต้องหาทางทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาให้ได้ นายกรัฐมนตรีแสดงภาวะผู้นำ ด้วยการขอคำแนะนำจากปรมาจารย์ทางด้านการแพทย์หลากหลายสาขา โดยเฉพาะทางด้านระบาดวิทยา และโรคติดเชื้อ จากการปรึกษาดังกล่าวนั้น เราก็มีวิธีที่จะตีตื้น เราไม่หยุดสงกรานต์ เรามีการปิดเมืองบางเมือง เราขอร้องคนไม่ให้เดินทางต่างจังหวัด เรายังคงเน้นเรื่องการใส่หน้ากาก การล้างมือ และเพิ่มเรื่องของการทิ้งระยะห่างระหว่างบุคคล (Social distancing) ซึ่งก็เป็นมาตรการที่ได้ผล ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี คะแนนที่ตกร่วงลงไปจนพวกเราตกอกตกใจกันก็กลายเป็นคะแนนที่ดีขึ้นอย่างน่าชื่นชม ทั้งนี้ เพราะประชาชนต่างก็เข้าใจสถานการณ์ดีขึ้น จากการรายงานข่าวของโฆษกที่เป็นที่ชื่นชอบของคนไทยเป็นจำนวนมาก นั่นคือหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน นอกจากจะเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีแล้ว ยังพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและทำตามมาตรการที่ทางการขอร้องอีกด้วย
การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การให้อำนาจผู้ว่าฯ ในการปิดกิจการบางอย่างตามความเหมาะสมในพื้นที่ รวมไปถึงการปิดเมือง ไม่ให้มีการเดินทางข้ามเมือง เพื่อป้องกันพื้นที่ของตนเองมีคนติดเชื้อ เป็นวิธีการที่ได้ผล ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง จนบางพื้นที่ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม บางแห่ง 7 วัน บางแห่ง 14 วัน บางแห่ง 28 วัน ทั้งนี้เพราะการใช้อำนาจของผู้ว่าฯ ในจังหวัดต่างๆ รวมทั้งการประกาศเคอร์ฟิว และการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น่าจะเป็นมาตรการที่ทำให้ประเทศไทยสอบได้คะแนน A อย่างชนิดที่ไม่ต้องกังขา ได้รับคำชมจากผู้นำประเทศต่างๆ รวมทั้งองค์การระหว่างประเทศ อย่างเช่นองค์การอนามัยโลก คะแนนที่เห็นชัดเจนคือ เราสามารถลดจำนวนคนที่ติดลงไปจนกลายเป็นเลขหลักหน่วยเพียงหลักเดียวแล้ว และยังมีคนที่รักษาหายกลับบ้านได้เป็นจำนวนมาก เลื่อนจากประเทศที่เคยเป็นที่ 2 ในช่วงต้นที่มีการระบาดมาอยู่ที่ตำแหน่งกว่า 50 ในเวลานี้ มีจำนวนคนติดเชื้อไม่ถึง 3,000 มีคนตายไม่ถึง 100 และมีคนที่รักษาหายมากกว่าจำนวนคนที่ติดเชื่อเพิ่มในทุกๆ วัน
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราได้คะแนน A ในการสอบครั้งนี้ก็คือการจัดการเรื่อง State Quarantine ที่เราจัดได้ดีมากทั้งสถานที่ อาหาร การดูแล จนทำให้คนไทยที่กลับจากต่างแดนยอมรับและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือโดยดุษณี แม้ว่าในตอนต้นจะมีคนบางคนที่มโนไปล่วงหน้าว่าสถานที่กักกันของเราน่าจะไม่ใช่พื้นที่สำหรับพวกเขา อาจจะสกปรก อาจจะทำให้พวกเขาติดเชื้อ พวกเขาอยากจะไปกักตัวที่บ้านเป็น Home Quarantine มากกว่า แต่แล้วเมื่อได้เข้าไปอยู่แล้ว ทุกคนต่างก็ยอมรับว่าเป็นพื้นที่ State Quarantine ที่ดีมากๆ และอาจจะดีที่สุดในโลกก็ได้ เพราะในหลายประเทศที่เจริญแล้ว มีการกั้นคอกจากพื้นที่กว้างๆบ้าง แบ่งพื้นที่สำหรับจอดรถตามห้างบ้าง คนที่ถูกกักตัวไม่สามารถที่จะอยู่สุขสบาย ไม่มีอาหารดีๆ และไม่มีคนดูแลที่เอาใจใส่พวกเขาอย่างคนที่มีน้ำใจ แบบคนไทยไม่ทิ้งกัน
เมื่อเราสามารถลดจำนวนคนติดเชื้อใหม่ให้ลดลงได้ เมื่อเราสามารถรักษาคนที่ติดเชื้อให้หายได้เป็นส่วนใหญ่มากกว่า 90% และประเทศเรามีอัตราการตายที่น้อยกว่าหลายๆ ประเทศในโลก และเราสามารถรับคนไทยในต่างแดนกลับมาประเทศไทย แล้วสามารถทำให้พวกเขาร่วมมือในการอยู่ในพื้นที่ State Quarantine ด้วยความเต็มใจ ดีกว่าหลายๆ ประเทศในโลก ประเทศไทยที่หลายคนมองว่าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา คือยังพัฒนาไม่เต็มที่ เป็นม้านอกสายตาในการจะเอาชนะไวรัสโควิด กลายเป็นนักเรียนที่สอบได้ A อย่างน่าภาคภูมิใจนะคะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |