มุมมอง"หนึ่งในร้อย"ของไทย


เพิ่มเพื่อน    

          ประเทศไทย ก็เหมือนเรือลำหนึ่ง

                บรรทุกคน ๖๙ ล้านคน

                ในจำนวนนั้น มีทั้งคนจ้ำพาย มีทั้งคนคอยเจาะท้องเรือ มีทั้งคนนอนหลับไม่รู้-นอนคู้ไม่เห็น

            มีทั้งคนคอยวิดน้ำ มีทั้งคนคัดท้าย มีทั้งคนเอาตีนราน้ำ มีทั้งคนถือว่าธุระไม่ใช่ และมีทั้งคนคอยปล้นชิงเรือ

            ดูแล้วปวดหัว หงุดหงิด สับสน กลัว เป็นห่วง ต่างๆ นานา ซึ่งวันๆ ไม่มีความสุขเลย เป็นกันอย่างนั้นใช่ไหม?

            ผมจะบอกเคล็ดลับการอยู่ในประเทศไทยให้เป็นสุขอย่างหนึ่ง ง่ายมาก

            คือ "อย่าคิดมาก"!

            เท่าเนี้ย เกินจะสุข ถ้าประเทศไทยไม่ใช่ดินแดนแห่งความสุข คนทั่วโลก รวมทั้งคนไทยที่กระจายอยู่ตามประเทศจะแย่งกันกลับมาทำไม จริงมั้ย?

            ดูชายแดนไทย-มาเลย์ซี.....

            ก่อนๆ โจรฆ่าชาวบ้านก็หนีไปอยู่มาเลย์-สิงคโปร์ คนทำมาหากิน ก็ไปอยู่มาเลย์-สิงคโปร์ ว่าสบายกว่าอยู่บ้านตัวเองที่ฝั่งไทย

            แต่พอมีภัยโควิด ที่ไหนสบาย-ปลอดภัย-ร่มเย็นที่สุด พิสูจน์ได้ชัด

            ชายแดนไทย-มาเลย์ เป็นพัน-เป็นหมื่น แต่ละคนรับรู้ความเป็น "คนไทย" ของตัวเองโดยอัตโนมัติ ทุกสารทิศ มุ่งกลับประเทศไทย

            มากต่อมาก "หนีเข้าเมือง" โดยลุยน้ำข้ามฝั่งเข้ามาซึ่งๆ หน้า "ยอมให้จับ" จะทำไงก็ยินดี ขอได้หนีตายกลับเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็พอแล้ว

            บ้านเราแสนสุขใจ แสนจะปลอดภัยที่สุด

            เข้าแผ่นดินไทยเหมือน "ได้เกิดใหม่" โควิดก็ไม่มีความหมายที่ต้องกลัว!

            คิดกว้างๆ มองออกไปไกลๆ ในความเป็นเรือประกอบด้วยคนหลาก ๖๙ ล้านคน แล้วจะไม่ว้าวุ่น ไม่สับสน และไม่กลัดกลุ้ม

            โลกและมนุษย์ที่ประกอบเป็นสังคม ก็เป็นเช่นนี้ ไม่เฉพาะที่ไทย ที่ประเทศไหนในโลกก็เป็นอย่างนี้

            คละเคล้า "คนดี-คนไม่ดี"

            ตัวเราเองแท้ๆ บ่อยครั้งไปที่เรายังเกลียดตัวเอง ถึงขั้นมีปัญหากับตัวเองด้วยซ้ำ

            ฉะนั้น มอง "สังคมประเทศ" ให้เป็นสุข ต้องมอง "องค์รวม" อย่าหยิบเฉพาะจุดหนึ่ง, คนหนึ่ง, พวกหนึ่ง สรุปเป็นปัญหาทั้งหมดของประเทศ

            เหมือนมีทองคำ ๑๐ ดุ้น เป็นทองบริสุทธิ์ ๙ ดุ้น มีเพียง ๑ ดุ้น ที่ปรากฏว่าเป็นตะกั่วปลอมปน

            คนเราก็จะ "ติดกับดักสุข" อยู่ตรงหมกมุ่น-ครุ่นเครียดอยู่กับ "ตะกั่วดุ้นเดียว" นี่แหละ

            แล้วทำไมไม่มองในอีกมุมล่ะ?

            ในมุมประเทศไทยโชคดีมากจริงๆ มีตะกั่วปลอมปนอยู่ในประเทศแค่ดุ้นเดียว

            มีทองคำบริสุทธิ์ตั้ง ๙ ดุ้น!

            ดี ๙ เลว ๑ คิดในทางเป็นจริงดูซี แบบนี้ เราควรดีใจ สุขใจ กับที่มีทองคำตั้ง ๙ ดุ้น

            คิดในละโมบกับทองที่กลายเป็นตะกั่ว คิดน่ะ..คิดได้

            แต่คิดแล้ว-คิดเลย

            ไม่ควรคร่ำเคร่งยึดตะกั่วดุ้นเดียวเป็นปัญหาชาติ-ปัญหาสังคม ลักษณะให้ค่า-ให้น้ำหนัก ไม่มีที่สิ้นสุด

            อย่างขณะนี้ เมื่อโควิดระบาดทั้งโลก ......

            ไทยเราก็ศึกหนัก "แพทย์-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์" ทั้งประเทศ รวมแล้วเป็นล้านๆ คน ออกรบเต็มกำลัง

            ภาครัฐ-โดยรัฐบาล ภาคเอกชน-โดยนักธุรกิจ, นักลงทุน, พ่อค้า ก็ผนึกกำลัง ร่วมรบเต็มที่

            ภาคประชาชนขอให้ "ทีมแพทย์-ทีมรัฐบาล" บอกมา เอาไง-เอากัน เพื่อประเทศรอด ปิดบ้าน-ปิดเมือง อดอยาก ยากแค้นขนาดไหน ก็ยอม

            เรียกว่า "ภาคประชาชน" ร่วมเป็นทั้งแนวหน้าและแนวหลัง ทุกข์-สุข, เป็น-ตาย ก็พร้อมไปด้วยกัน

            "ภาคกองทัพ" ทั้งทัพบก-ทัพเรือ-ทัพอากาศ-ทัพตำรวจ ครั้งนี้ วางตำแหน่งสอดคล้องสถานการณ์ที่เรียก "สงครามโรค" ได้สมวุฒิภาวะมาก

            "รบกับโรค"........

            ต้องยกให้ "ทีมสาธารณสุข" ด้วยนักรบแพทย์-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์ เป็น "ทัพหลวง"

            ดังนั้น ถ้ามองเผินๆ เราจะเห็นว่า ในสงครามนี้ไม่ค่อยเห็นบทบาททหารเหมือนทุกครั้งในทุกสถานการณ์ที่ผ่านๆ มาเลย!?

            ก็ใช่น่ะซี........

            เพราะกองทัพเขามีวุฒิภาวะทางสำนึก ต้องให้ "หมอ-พยาบาล" นำหน้าออกรบ

            ส่วนทหารเป็น "กองกำลังบริการ" คือเป็นหน่วยซัพพอร์ต ตามแผนการรบจากกองบัญชาการใหญ่ทีม "สุพรีมแพทย์"

            แต่ถ้ามองเจาะลงไป จะเห็นว่า "ทหาร" หัวไม่วาง-หางไม่เว้นเลย และดูเหมือนคำว่า New Normal จากสถานการณ์นี้ กองทัพ "ปรับสภาพ" ใหม่ได้ดี

            เห็นได้ชัด ทีมสุพรีมแพทย์สั่งมาอย่างไร ทีมกองทัพ "รับทราบ-รับปฏิบัติ" มีประสิทธิภาพ

            งานในภาพรวมจึงออกมาเนี้ยบ ชื่นชมขรมโลกตอนนี้!

            จาระไนคงไม่หมด ........

            จะยกตัวอย่างภาพรวมใน ๒ กรณีให้เห็น กรณีแรก โควิดระบาดแรกๆ ต่อจากจีน ยังไม่เป็นปัญหาใหญ่

            แต่พอระบาดไปถึงญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ท่าทางไม่มีที่ไหนจะเอาอยู่ ปัญหาใหม่ที่เป็น "ปัญหาใหญ่" ตามมา ก็คือ

            คนไทยในจีนก็จะกลับ คนไทยที่เรียก "ผีน้อย" ในเกาหลีก็จะกลับ คนไทยในญี่ปุ่นก็จะกลับ

            วุ่นละซี จะอาไงกันล่ะ คนในประเทศก็กลัวเอาโรคเข้ามา คนนอกประเทศก็อยากกลับ รวมแล้วเป็นหลายร้อยคน

            ทีมสุพรีมแพทย์บอก.......

            กลับมาต้องกักตัว "เฝ้าดูอาการ" ๑๔ วันก่อน!

            แล้วจะกักที่ไหน จะอยู่กินกันยังไง ใครจะออกค่าใช้จ่าย ใครจะบริหารดูแลปัญหาตรงนี้?

            ทั้งหมดนี้แหละ ที่เห็นกลับกันมาคึ่กๆ นอกจากผีน้อยแล้ว ทั้งจากยุโรป-สหรัฐฯ ทั้งไทย-เทศ ที่ไหลกลับยังไม่จบ รวมแล้วไม่ตก ๓-๔ หมื่นคนหรือนั่น?

            ทุกอย่างเรียบร้อยเกินคาด......

            ที่คิดว่าจะเป็นปัญหา แต่กลายเป็นบริการเรี่ยมเร้-เรไร ระดับ ๕ ดาว

            คนถูกกักตัว วันแรกด่าไทย.......

            แต่พออยู่ไป กลับต้องย้อนด่าตัวเอง ด้วยเสียใจ ที่ใจเร็วด่วนด่า นึกไม่ถึงว่าไทยจะดูแลรักษาให้ดีถึงขนาดนี้!

            "ทหารเรือ" บ้านพักรับรองในฐานทัพเรือ ที่สัตหีบ เป็นแห่งแรก ดังทะลุทำเนียบโลกไปเลย

            ต่อๆ มา ทะลัก-ทลายกลับ ต้องกระจายไปตามภาค-ตามจังหวัด

            ทหารบกเป็นเจ้าภาพ จัดหาสถานที่ เช่น ปราจีนบุรี, ลพบุรี, พิษณุโลก, นครราชสีมา, นครศรีธรรมราช, ร้อยเอ็ด, เพชรบูรณ์, กทม., กาญจนบุรี เป็นต้น

            ทหารอากาศระดมพลแพทย์เกษียณเข้าประจำการ จัดหาสถานที่กักตัว เช่น ที่กำแพงแสน เอาเครื่องบินขนข้าวจากเหนือไปแลกปลาจากใต้

            ครั้นปัญหาบริการสถานที่หมดไป ปัญหาใหม่ทางสังคม คือชาวบ้านไม่มีข้าวปลาอาหารกิน

            ก็เกิดรถพุ่มพวงทหาร, เกิด Grab Soldier, เกิดโครงการทหารพันธุ์ดี, เกิดเดลิเวอรี่ลายพราง, เกิด มทบ.39 โมบาย เดลิเวอรี่, เกิดม้าเร็ว ขี่จักรยานยนต์ส่งถุงยังชีพ

            กระทั่ง เปิดค่าย แบ่งพื้นที่ให้ชาวบ้านทำ "เศรษฐกิจพอเพียง" ปลูกพริก หอม ข่า ตะไคร้ เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู อะไรที่กินได้-พอขายได้ ทหารนำชาวบ้านทำในยามนี้

            พืชผัก, ผลไม้ชาวบ้าน ไม่มีคนเก็บ ขายไม่ได้ ทหารช่วยเก็บและช่วยเหมาซื้อ เอาแจกกันกินบ้าง ขายบ้าง ได้เงินก็ให้ชาวบ้าน

            นี่คร่าวๆ ที่ผมสังเกตทหารทำหน้าที่เป็นกำแพงแนวหลังและประเด็นที่ผมจะชี้ให้เห็น ก็คือ

            งานนี้เป็น "งานใหม่และใหญ่" จะสำเร็จออกมาขนาดนี้ได้ สิ่งแรก คือ คนบริหารจะต้องมีประสบการณ์และชำนาญแผน

            ๑.แผนรับมือ ๒.แผนปฏิบัติการ ๓.แผนประสานแผน ๔.แผนบริหารคน ๕.แผนบริหารปัญหา ๖.แผนบุคลากร และ ๗.แผนสำรองเผื่อสถานการณ์พลิกผัน

            ในงานนี้........

            ฝ่ายสุพรีมแพทย์ออกนโยบาย ฝ่ายสุพรีมรัฐบาลออกคำสั่ง แล้วฝ่ายไหนล่ะจะเป็นผู้มีศักยภาพ

            คือรับคำสั่งมาปฏิบัติชนิดฉับพลัน-เฉพาะหน้า ให้คน ๒-๓ หมื่น มีที่อยู่-ที่พัก-ที่กิน-ที่ตรวจโรค" โดยมีคนบริการให้พร้อมสรรพ และต้องเรียบร้อย

            ก็มีแต่กองทัพคือทหารเท่านั้นที่ทำได้ ตั้งแต่นายพลยันพลทหาร เหนื่อยกันสายตัวแทบขาด

            แต่เพื่อชาติ เพื่อประชาชน ใครเคยได้ยินทหารบ่น ทหารเคลมเอาชื่อเสียง เอาหน้า-เอาตากับงานนี้มั้ย?

            นี่แหละ งานใหญ่ ที่ต้องประสานคน-ประสานงานเป็นหมื่น-เป็นแสน ถ้าไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์และวินัยอย่างทหาร

            งานส่วนนี้เละไปแล้ว!

            ที่พูดมาทั้งหมด คือส่วนของทองคำ ๙ แท่ง อยากให้ทุกคนมอง "จุดดี-จุดเด่น" ของประเทศและของคนไทย ด้วยภูมิใจและสุขใจกัน

            ส่วนทองที่กลายเป็นตะกั่วอีก ๑ ดุ้น คือแก๊งการเมืองผสมแก๊งวิชาการรับจ้างกวนเมืองตระกูลโคแดง-โคส้มนั้น

            ดูมัน...แต่ไม่ควรให้ค่าต้องรำคาญใจ มันเป็นเพียง "ตะกั่วตีนแห" ซึ่งทั้งชาติ "ดิ่งจม" อย่างเดียว

            ที่ดีของ "ตะกั่ว" ก็ตรงใช้ขับเน้น "เนื้อทอง" ให้เด่นค่ายิ่งขึ้นเท่านั้น

            New Normal น่ะ เป็นวิถีชีวิตใหม่ของคน

            ไม่เกี่ยวสันดาน "สัตว์การเมืองรุ่นใหม่" ซึ่งนิวจัญไรคงเดิม.   


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"