ถือเป็นข่าวดี 3 วันติดสำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายใหม่ของไทยที่เป็นหลักหน่วยอีกครั้ง หลังจาก เมื่อวันแรก 27 เม.ย. มีผู้ติดเชื้อหลักหน่วยครั้งแรกที่ 9 ราย ตามด้วยวันที่ 28 เม.ย. ที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย และล่าสุดในวันที่ 29 เม.ย. มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9 ราย ที่สำคัญไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม โดยยังคงอยู่ที่ 54 ราย...๐

ที่น่าสนใจและดูเหมือน “นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ตอกย้ำมาต่อเนื่องในห้วงสัปดาห์นี้ คือ การติดเชื้อรายใหม่มักสัมผัสกับผู้ป่วยรายเก่า หรือสัมผัสกับคนในครอบครัวที่เป็น ฉะนั้นการรักษาระยะห่างทางสังคมและกายภาพนั้นต้องเข้มข้น การ์ดอย่าตกแม้จะอยู่ในบ้านกับครอบครัวก็ตาม...๐

 

 ต้องยอมรับว่า “สังคมไทย” เป็นสังคมแห่งการเฮฮาสังสรรค์กันเสียจริง เพราะตอนนี้ทั้งใน โลกออนไลน์และโลกความจริงต่างวิเคราะห์วิจารณ์กันอย่างหนักถึงช่องว่างช่องโหว่ว่าด้วยการซื้อขายแอลกอฮอล์ เนื่องจากการประกาศงดขายสุรายาเมานั้นจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เม.ย. และคาดว่าจะมีการออกประกาศมาใช้ใหม่ในเรื่องดังกล่าวในวันที่ 3-4 พ.ค. จึงทำให้มีช่องสุญญากาศ 2-3 วันให้ซื้อกักตุนกันได้ แต่คงต้องหมดหวังกันแล้ว เมื่อ “ฉัตรชัย พรหมเลิศ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย ออกหนังสือเวียนด่วนที่สุดถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศกำชับแนวทางตามที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามและประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษากันไปแล้ว 3 ฉบับในเรื่องต่ออายุสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1-31 พ.ค. โดยกำชับให้จังหวัดถือปฏิบัติตามประกาศอย่างเคร่งครัด รวมทั้งยังได้กำชับอีกว่าการออกคำสั่งหรือประกาศของจังหวัดที่เกี่ยวข้องให้รอการสั่งการเชิงนโยบายจาก ศบค.ก่อน เพื่อให้เกิดเอกภาพ งานนี้ก็เลยทำให้ “ขาดื่ม” ทั้งหลายก็ส่อแววแห้วเป็นทิวแถว...๐

 

เร็วยิ่งกว่า “กามนิตหนุ่ม” ต้องยกให้พ่อเมืองตราตั้งอย่าง “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ที่ได้ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. เสนอคลายล็อก 8 ประเภทสถานที่เปิดให้บริการได้ ซึ่งประกอบด้วย 1.ร้านอาหารนั่งทานที่ร้านได้ 2.ตลาดหรือตลาดนัด 3.ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย 4.สนามกอล์ฟ 5.สนามกีฬา สถานที่ออกกำลังกาย และศูนย์เยาวชน กทม. 6.คลินิกและสถานพยาบาล 7.สวนสาธารณะ และ 8.ร้านตัดขนสัตว์ แหม! เห็นสถานประกอบการแล้วต้องบอกว่างานนี้ทำให้บรรดาห้างสรรพสินค้าหัวทิ่มหัวตำกันเลยทีเดียว เพราะอุตส่าห์เตรียมมาตรการป้องกันไว้ดิบดี แต่สุดท้ายกลับไม่ติดลิสต์รายชื่อแต่ประการใดเลย...๐

 มีตัวเลขที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งสำหรับโควิด-19 นั่นคือ ตัวเลขผู้หายป่วย 2,665 ราย ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับผู้ป่วยสะสมที่มีทั้งสิ้น 2,947 ราย แต่เมื่อเห็นตัวเลขผู้หายดีไปบริจาค “พลาสมา” ให้กับสภากาชาดไทยและโรงพยาบาลรัฐต่างๆ แล้วก็ได้แต่เศร้าใจ และสะทกสะท้อนอย่างยิ่ง เพราะมีผู้หายป่วยไปบริจาคไม่ถึง 10% ทั้งที่การรักษาโรคนี้ ผู้ป่วยแทบไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว เป็นการใช้งบประมาณซึ่งเป็นภาษีของคนทั้งชาติเข้าไปดูแล แต่แค่การไปบริจาคพลาสมาเพื่อให้ศึกษาวิจัยเพื่อนำไปสู่การหาวัคซีนและแนวทางป้องกันโรคนี้ “คนป่วย” ที่หายดีทั้งหลายกลับไร้ซึ่งสำนึกในการตอบแทนจริงๆ...๐

 หันมาเรื่องการเมืองการมุ้งของ “พรรคพลังประชารัฐ” กันบ้าง ต้องเรียกว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ทั้งที่ได้คะแนนเสียงท่วมท้นในการแก้ไขปัญหา “โควิด-19” ทั้งจากคนในชาติและนานาประเทศ แต่กลับมาตกม้าตายในการแย้ง “ชามข้าว” ในห้วงเวลานี้พอดี เรียกว่าที่ทำดีที่ผ่านมาตั้งแต่มีผู้ติดเชื้อรายแรกแทบตกม้าตายกันเลยทีเดียว ดีที่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ออกมาแตะเบรกบอกให้บรรดาสารพัดก๊วนทั้งหลายสงบปากสงบคำ ก็น่าจะตำหนิติติงหรอก เพราะมันไม่ใช่เวลา ที่สำคัญไม่ต้องห่วงหรอก เพราะ หลังโควิด-19 ผ่านพ้น หลายรัฐมนตรีก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนแน่ เพราะผลงานในช่วงวิกฤติที่ผ่านมาก็น่าจะเป็นหินลองทองได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นบรรดาลูกพรรคและลูกหาบทั้งหลายอดเปรี้ยวไว้กินหวานเถิด...๐ ทิ้งท้ายด้วยข่าวบันเทิงกันบ้าง เพราะต้องไม่ลืมว่าเป็นช่วง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” จึงเป็นโอกาสทองของบรรดาช่องทีวีทั้งหลายที่จะสร้างและดึงเรตติ้งของช่องต่างๆ แต่ ที่ไหนได้ “ช่อง 33 HD” กลับกลายเป็นย้อนยุคไปเป็นช่อง “28 SD” ที่ยุบเลิกไปเสียนี่ เพราะเล่นเอาหนังต่างประเทศ (ไม่ต่ำกว่า 10-20 ปี) และละครมารีรันกันแบบไม่กลัวผู้ชมหนีกันเลย ไม่รู้ว่าผู้บริหารเก่าและใหม่ของช่อง 3 คิดอะไรอยู่กันจ๊ะ ชาวบ้านที่เป็นช่อง 3 เขาฝากถามมา...๐.

 

 

 

...ท.ศักดิ์