อ้น-สราวุธ มาตรทอง เล่าถึงมรสุมชีวิตที่ทำให้ตนนั้นเกือบคิดสั้นกินยาฆ่าตัวตาย และการบูลลี่ที่ไม่จบสิ้นของชาวเน็ต ผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow
“ช่วงนี้พี่เล่น TikTok แต่ก็มีคนมาคอมเมนต์แบบที่อ่านแล้ว...ทำไมคนเราวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ที่เราผ่านมันไปนานแล้ว มันเหมือนได้ศึกษามนุษย์ว่าทำไมเขายังสนุกกับเรื่องบางเรื่อง เขาจะรู้ไหมเรื่องที่เขาคุยเล่น เราเคยเอาชีวิตเราเข้าไปเสี่ยงจนวันนี้เราอาจจะเป็นศพไปแล้ว เขายังสนุกไหมถ้าเขาหัวเราะอยู่บนวิญญาณหรือศพของเราถ้าเราผ่านมันมาไม่ได้ มันเกือบเอาชีวิตเราไปในช่วงเวลาที่เราท้อแท้
สมัยก่อนที่คลิปหลุด ในช่วงเวลานั้นก็มีกระแสของคนอื่นอยู่ก่อนบ้าง แต่ด้วยความที่เรารู้สึกว่ามันออกมาแล้ว มันเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะปฏิเสธ แล้วเรารู้จักพี่ๆนักข่าว คนกันเอง แล้วเขาก็รู้ว่าเป็นเรา แล้วเรารู้สึกว่าอยากจบปัญหานั้นด้วยการยอมรับมันซะ แล้วก็เผชิญหน้ากับมันด้วยตัวของเราเอง แล้วก็แถลงข่าว แต่วันก่อนที่จะถึงวันแถลงข่าว เราก็ช้ำกับมันอยู่ 4 วัน เรานอนกอดพระพุทธรูปร้องไห้กับมันอยู่ 4 วันว่ามันคืออะไร มันเหมือนกับทุกอย่างในความคิดมันพังว่าเราเข้าวงการสิ่งที่เราอยากทำ คือเราอยากมาแสดง อยากอยู่กับศิลปะ เราไม่ได้เข้ามาเพื่อเจอเรื่องห่าเหวอะไรแบบนี้ แต่เราต้องมาเจอ แล้วต้องมาเผชิญกับความรังเกียจของคน การมอง แววตาเหมือนกับ เห้ย...เราเป็นฆาตกรเหรอ ไปฆ่าคนเหรอ คนเราไม่เอากันเหรอ แต่เราแค่คึกคะนองในการอัดคลิปไว้ มันเป็นเรื่องของวัยหนุ่มตอนนั้น
ซึ่งเราก็เจ็บกับมัน ซึ่งสุดท้ายแล้วเราก็รู้สึกว่ายอมรับเถอะ แล้วบอกตรงๆ ไม่ต้องมีการค้นคว้าอีกว่าเป็นเราเอง แล้วก็ให้มันจบเรื่องนี้ไป แต่สิ่งที่มันเฮิร์ตเราคือ คนรอบๆตัวเรา ครอบครัว แฟน เดือดร้อน ร้องไห้เพราะมัน มันเป็นสิ่งที่ทรมานใจผมมาก เพราะว่าโดยธรรมชาติผมชอบเห็นคนมีความสุข ผมไม่ชอบให้ใครเดือดร้อน แต่เวลาเห็นคนที่เรารักเดือดร้อน ร้องไห้ มันเหมือนหัวใจมันโดนกรีดด้วยมีด กรีดซ้ำๆ จนไม่ไหวแล้ว จนไม่อยากเจอคน ไม่อยากเจอครอบครัว ไม่อยากเจอผู้จัดการ ไม่อยากเจอใคร ก็ปิดคอนโดแล้วก็อยู่กับตัวเองกอดพระพุทธรูปแล้วก็ร้องไห้ สุดท้ายความหนักหนาที่เกิดขึ้นตอนนั้นรับไม่ไหวอีกแล้ว ฉันทำให้ใครหลายคนผิดหวังเพราะฉัน รวมทั้งแฟนคลับที่อาจจะผิดหวังหรืออะไรผมไม่รู้นะ ก็คิดว่าคงต้องจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย
ที่คิดในตอนนั้นกินยาตายครับ แต่ยังไม่ได้กินครับ เพราะในโมเมนต์ที่เลือกแล้ว มันเหมือนมีเสียง แต่ไม่รู้ว่าเสียงอะไรอยู่ในหัวเราแล้วบอกว่า อ้นถ้าฆ่าตัวตายไปแล้ว แล้วชาติหน้าต้องเกิดมาฆ่าตัวตายอีกจะเอาไหม ผมก็ตอบสิ่งนั้นไปว่าผมไม่เอา เขาก็ถามกลับมาว่าไม่เอาแล้วทำทำไม แล้วผมก็บอกว่า แล้วจะให้ผมทำยังไง ผมไม่ไหวแล้ว ผมทนไม่ไหว สิ่งที่ได้ยินกลับมาจากสิ่งนั้นคือต้องอดทน มันเป็นเสียงที่สงบแล้วนุ่มมาก ผมก็เลยกัดฟัน อดทนมา แล้วก็ไปออกสื่อเลย แล้วขอร้องให้จบมันซะ หัวใจผมขาดลงวันนั้น อ้นคนเดิมก็ขาดลงวันนั้น แล้วก็ไปพึ่งพระพุทธศาสนาแล้วก็ไปบวชแล้วก็ทบทวนชีวิต ประคับประคองเรียนรู้หลายๆอย่าง
มีหลายคำเลยที่น้ำตาร่วง ในติ๊กต๊อกก็ยังมี ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมน้ำตาไหลนะ เพราะว่ามันเกือบฆ่าผมตาย แต่ตอนนี้ผมจะมองมันแบบน้องๆ จะรู้ไหมว่ากำลังเล่นกับความทุกข์ของคนอื่น น้องๆอาจจะไม่คิดอะไรเลย แต่ถ้าเกิดน้องกำลังเล่นอยู่กับโรงศพของผู้ชายคนหนึ่งน้องจะรู้สึกอะไรไหม ในคำถามเดียวกัน คนในวงการก็ทำแบบเดียวกัน ครอบครัวผมเดือดร้อน ร้องไห้ ตัวผมเองโดนทำร้ายผมโอเคนะ แต่คนที่ผมรักโดนทำร้าย ผมยอมไม่ได้ ผมรับไม่ไหว
ผมจะโดนขุดคุ้ย มันเป็นวิถีของข่าว ก็หน้ามึงอะ แล้วมันก็จะไปอีกยาวนาน พี่ๆนักข่าว ผมขอบคุณตรงนี้อีกทีนะที่วันนั้นทุกคนให้ใจผมมาก ไม่มีคำถามอะไรแม้แต่นิดเดียว ไปบวชครึ่งเดือน สิ่งที่เราได้ตอนอยู่ในผ้าเหลืองคือ ชีวิตก็แบบนี้ คุณไม่ต้องไปคาดหวังกับอะไรมากเกินไป ทุกวันนี้อ่านข้อความก็ยังพิจารณาชีวิตอยู่ มีทั้งกำลังใจที่ส่งมา มีทั้งคนที่ดูถูกกัน บูลลี่เรา นี่ไงชีวิต”
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |