29 เมษายน 2563 นายภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ-สายงานการวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้ประชาชนต้องอยู่บ้านกันจำนวนมากนั้น ทำให้ในส่วนของอุตสาหกรรมโฆษณาก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน คาดการณ์ว่าในปี 2563 จะติดลบอย่างน้อย 15% หรือมีมูลค่าประมาณ 7.7 หมื่นล้านบาท นับว่าเป็นสถานการณ์ที่แย่สุดเป็นประวัติการณ์ หากเทียบกับเมื่อช่วงหลายปีในอดีตก่อนออนไลน์ได้รับความนิยมจะเห็นได้ว่ามูลค่าของอุตสาหกรรมฯ จะอยู่ที่นับแสนล้านบาท
“สถานการณ์ของโควิด-19 ไม่ได้เข้าดิสรัปฯ เพราะที่ผ่านมาอุตสาหกรรมโฆษณาระยะหลังก็มีความยากมาตลอด ตอนนี้โควิด-19 เป็นตัวเข้ามาเร่งและซ้ำเติมให้หลายๆ อย่างเกิดเร็วมากขึ้น จากเดิมที่อาจจะเกิดขึ้นในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ในไตรมาสแรกมีหลายหมวดสินค้าที่ลดการใช้จ่ายลงไป ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มรถยนต์หรือเครื่องดื่มคาร์บอเนตที่ปกติจะใช้เม็ดเงินเยอะในช่วงซัมเมอร์ ส่วนตัวมองว่าการตลาดจากนี้จะเน้นความคุ้มค่าและราคา มากกว่าการสร้างแบรนด์ เนื่องจากต้องการดึงยอดขายในช่วงกำลังซื้อน้อยลง การทำกิจกรรมและอีเว้นท์ต่างๆ แทบจะพับไปเลย หรือในไตรมาส 2 -3 จะไม่มีการทำออนกราวด์แน่นอน” นายภวัต กล่าว
สำหรับแนวโน้มของสื่อนอกบ้านเดิมทีเป็นหนึ่งในกลุ่มที่จะมีการเติบโตดีหรือติดท็อป 3 แต่ในช่วงที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่ามีผลกระทบโดยตรงจากสถานกาณณ์ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะลดลงไม่ต่ำกว่า 30% ในแง่ของเม็ดเงิน เหลือประมาณ 8,000 ล้านบาท จาก 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ในขณะเดียวกันบริษัทฯมองว่าจากความเป็นเมืองมากที่มากขึ้น จึงประเมินว่าสื่อนอกบ้านจะฟื้นตัวและมีบทบาทสอดคล้องกับนโยบายอันล็อคจากภาครัฐ น่าจะเห็นตัวเลขฟื้นตัวกลางเดือน พ.ค. 2563 นี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ขณะเดียวกันสื่อโรงภาพยนตร์ก็เป็นอีกกลุ่มที่ค่อนข้างได้รับผลกระทบหนัก หลังจากต้องปิดไปตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา เบื้องต้นน่าจะติดลบไม่ต่ำกว่า 40% และหากสามารถเปิดให้บริการได้ ก็อาจต้องเปิดขายที่นั่งแบบเว้นระยะ โดยปัจจัยเรื่องของภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายก็มีส่วน เพราะภาพยนตร์อาจเลื่อนฉายไปปีหน้าแทน รวมถึงผู้บริโภคที่เคยมีประสบการณ์โรงหนังและได้ทดลองใช้สตรีมมิ่ง หลังจากได้อยู่บ้านเป็นเวลานาน ก็มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้คนสนใจการรับชมโฮมเอ็นเตอร์เทนเม้นมากกว่าการเข้าโรงภาพยนตร์อีกด้วย
นายภวัต กล่าวว่า ในช่วงที่ประชาชนอยู่บ้านก็ทำให้คนกลับมาดูทีวีมากขึ้น 15% เนื่องจากต้องการติดตามคอนเทนต์ประเภทข่าว ทำให้สัดส่วนทีวีจะยังคงอยู่ 50% ในอุตสาหกรรมฯ จากเดิมก่อนเกิดสถานการณ์มองกันว่าจะลดลงต่ำกว่า 50% รวมถึงสื่อออนไลน์มีการใช้งานมากขึ้น 40% โดยปัจจุบันอัตราการใช้อินเตอร์เน็ตคนไทยอยู่ที่ 70% แต่ในช่วงที่ผ่านมาทำให้คนที่ไม่ได้เล่นออนไลน์เข้ามามากขึ้น มองว่าหากจบวิกฤติไปแล้วสัดส่วนจะมีการเพิ่มขึ้นเป็น 80% หรือจาก 50 ล้านคน เป็น 55 ล้านคน ซึ่งถูกขับเคลื่อนโดยเจนเนอเรชั่นเอ็กซ์และเบบี้บูมเมอร์เป็นหลัก เพราะเดิมทีกลุ่มดังกล่าวไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตมากนัก แต่ในช่วงนี้มีความจำเป็นต้องเรียนรู้มากขึ้น
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |