ผมน้อย เย้ย รัฐบาลขับเคลื่อนประเทศด้วยการโดนด่า ไม่โดนด่าไม่ทำ


เพิ่มเพื่อน    

27 เม.ย.63 - นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า การส่งออกเดือนมีนาคมที่ขยายตัว 4.17% แต่เมื่อหักการส่งออกทองคำและการส่งคืนยุทโธปกรณ์ซ้อมรบกลับสหรัฐที่ไม่สะท้อนภาวะการค้าที่แท้จริงแล้วการส่งออกจะหดตัวติดลบ - 2.5% ไม่ได้ขยายตัวตามที่กล่าวอ้างกัน อีกทั้งในวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมานี้ จะเป็นวันแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี) กับสินค้าไทย 573 รายการ มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาทซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยย่ำแย่ลงไปอีก ทั้งนี้ การค้าขายระหว่างประเทศของทั้งโลกภายหลังมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะมีความผันผวนมากขึ้นไปอีก 

ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะเข้าร่วมความตกลงครอบคลุมและก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ก็อยากให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีถึงข้อดีข้อเสียที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศ อย่าเพียงคิดว่าประเทศไทยไม่สามารถเจรจาการค้ากับต่างประเทศมาเป็นเวลานานกว่า 5 ปี เพราะปัญหาของการปฏิวัติรัฐประหาร แล้วจะรีบแก้ไขโดยการเข้าร่วม CPTPP แบบไม่ลืมหูลืมตา ทั้งนี้เพราะไทยอาจจะต้องเจอปัญหาสิทธิบัตรยา และ ปัญหาลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์พืช ซึ่งทั้งปัญหาด้านสาธารณสุข และ ปัญหาความขาดแคลนอาหารของโลก หลังจากวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19ระบาดจะเป็นเรื่องใหญ่ ที่รัฐบาลต้องคำนึง อีกทั้งประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการค้าและการลงทุนจากการเข้าร่วม CPTPP ก็ยังไม่ชัดเจนจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกภายหลังการเกิดวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19นี้ โดยอยากให้รัฐบาลได้ฟัง และพิจารณา เสียงคัดค้านและเหตุผลของผู้มีชื่อเสียงและนักวิชาการจำนวนมากที่ได้ออกมาต่อต้านการเข้าร่วม CPTPP นี้

ทั้งนี้ ในภาวะวิกฤตกาณ์ไวรัสโควิด-19 นี้สถานการณ์ต่างๆจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้วมาตลอด 5 ปีนี่ จะยิ่งทรุดหนักและย่ำแย่ลงไปอีกอย่างรุนแรงแบบที่จะไม่เคยพบมาก่อน  เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกจะผันผวนและซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้แย่ลง  ธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจสายการบิน และ ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว จะเป็นธุรกิจแรกๆที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และจะยังมีผลต่อเนื่องไปยังธุรกิจอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เกิดการว่างงานจำนวนมากทั่วโลก รวมถึงไทยที่จะมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นถึงกว่า 10 ล้านคน ซึ่งจะทำให้เกิดความลำบากกันอย่างมาก

ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลได้วางแผนการรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่จะหนักหนาสาหัสล่วงหน้า อย่าได้บริหารประเทศเหมือนในปัจจุบันที่ดูเหมือนรัฐบาลจะขับเคลื่อนโดยการโดนด่า หรือ ต้องถูกด่าก่อนถึงจะยอมดำเนินการ โดยล่าสุดรัฐบาลมีความคิดที่จะตัดงบบัตรทองลง 2,400 ล้านบาท แต่เมื่อโดนด่ามากจึงยอมถอย  การแจก 5000 บาท ก็เกิดจากเสียงด่าที่ปิดเมืองแล้วทำให้คนตกงานและขาดรายได้แต่กลับไม่มีการเยียวยา พอถูกด่าว่าแจกแค่ 3 ล้านคน ทั้งที่มีผู้เดือดร้อนสมัครเข้ามากว่า 27 ล้านคน จึงขยายเป็น 9 ล้านคน และยังถูกด่าอีกจึงขยายเป็น 14 ล้านคน ต่อมาประชาชนด่าว่าค่าไฟฟ้าแพงจึงคิดลดค่าไฟฟ้าทั้งที่ได้เตือนก่อนแล้ว การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ก็เช่นกัน ถ้าไม่ถูกด่าป่านนี้ก็ยังคงจัดซื้ออาวุธกันมากมายโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน และหากมองย้อนหลัง ปัญหาหน้ากากอนามัย และ แอลกอฮอล์ ขาดแคลนก็ต้องถูกด่ากันก่อนถึงมาแก้ไข ซึ่งหากต้องถูกด่าก่อนถึงจะดำเนินการ รัฐบาลจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศให้ทันการได้

ในภาวะวิกฤติต่อไปนี้ การเปลี่ยนแปลงและความผันผวนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ประเทศไทยต้องการผู้บริหารประเทศที่ต้องคิดเป็น บริหารเป็น ไม่ใช่ต้องถูกด่า ต้องถูกตำหนิก่อนถึงจะคิดดำเนินการ ถ้าหากรัฐบาลยังบริหารประเทศแบบขับเคลื่อนโดยการโดนด่านี้ ประเทศไทยจะไม่สามารถฝ่าวิกฤติการณ์นี้ไปได้ และ ประชาชนจะยิ่งลำบากกันอย่างมาก


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"