"ไม่ต้องทำดี-คิดดีก็พอ"


เพิ่มเพื่อน    

           "พระเจ้าองค์ใหม่" ถ้าจะมี ไม่ใช่ "ไอที" หรอก

            "โควิด" นี่แหละ

                คือ "พระเจ้าผู้บันดาล" สู่สังคมโลกใหม่ "ศตวรรษที่ ๒๑" ตัวจริง!

                ศักดิ์สิทธิ์มาก ใครลบหลู่ "ถึงตาย"

                มีตัวอย่างให้เห็น เว็บ DAILY MAIL พาดหัวข่าว Man, 60, who said COVID-19 lockdown was 'political ploy' dies of virus.

                คุณ Kantanit Sukontasap กัปตันปลดระวาง ถึงขั้นแปลข่าวมาโพสต์ เมื่อวาน (๒๓ เม.ย.๖๓)

                "ชายจากมลรัฐ​โอไฮโอ​ที่​บอกว่า​ โควิด​เป็น​เรื่อง​ที่กุขึ้น​เพื่อ​ใช้​ผลทาง​การเมือง​ มาตรการ​กัก​บริเวณ​เป็น​เรื่อง​​เหลวไหล​ และ​ผู้​ว่า​รัฐไม่มี​อำนาจ​สั่ง​ปิด​ผับบาร์​

            สุดท้าย​ "เสีย​ชีวิต" ​จาก​โรคโควิด

John W. McDaniel, 60, of Marion County, Ohio, who tested positive for the coronavirus in late March,died at Riverside Methodist Hospital in Columbus this past Wednesday.

                ฉะนั้น อย่ารีบฉีกผ้าอ้อมกัน แค่ได้ยินโฆษก ศบค. "หมอทวีศิลป์" ขานตัวเลข ๑๓ เมื่อวาน (๒๓ เม.ย.)

                เกรงอก-เกรงใจ "เทพเจ้าเปลี่ยนโลก" ไว้ก่อนจะดีสุด ตัวเลขลดลงเรื่อยๆ จนเหลือแค่ ๑๓ รายก็จริง               

                แต่อย่าเห็นแก่ความสtดวกสบาย เร่งจะให้เปิดบ้าน-เปิดเมืองกันเร็วๆ โดยไม่คิดทวนหน้า-ทวนหลัง

                "เอ็งมาข้ามุด-เอ็งหยุดข้าตี" นั่นน่ะ ก็พูดกันอยู่บ่อยๆ มิใช่หรือ เพราะ "ทีมแพทย์+ทีมรัฐบาล" เป็นปราการแข็ง โควิดเจาะไม่เข้า มันจึงซุ่มดูเชิง

                ขืนอ่อนมาตรการเปิดอ้าทันที-ทันใด ที่ซุ่ม มันจะยกพลโจมตีรอบ ๒ ระดับ "ซูเปอร์โควิด" เลยตานี้

                ดูสิงคโปร์เป็นบทเรียน เพราะตายใจ "อ่อนมาตรการ" นิดเดียว วันนี้ เป็นไง

                ป่วยเกินหมื่น ขึงพืดรอบใหม่ ยาวไปมิถุนา.โน่น!

                สำหรับบ้านเรา จะปิดบ้าน-ปิดเมือง คง "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" และเคอร์ฟิวไว้ก่อน .........

                หรือจะคลายเป็นบางพื้นที่ ก็รอฟัง ครม.เคาะวันอังคารที่ ๒๘ เมษา.

                หลักๆ ใจผมน่ะ "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" ควรต้องคงไว้ก่อน

                เอาอย่างที่ลุงยง "ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ" บอกนั่นแหละ ไม่พบป่วย ๑๔ วัน อยู่ไฟต่ออีก ๑๔ วัน แน่ใจว่าอู่แห้งแล้ว เบ็ดเสร็จ ๒๘ วัน ค่อยเริงสำราญกัน

                ก็ถือซะว่า เป็นการให้เกียรติ "เทพเจ้าโควิด" ไปในตัว!

                กลับมาเรื่องที่จะคุยกันวันนี้บ้าง.....

                อย่างที่บอกเมื่อวาน ไม่อยากให้จมอยู่กับเรื่องโควิดนานๆ วันนี้ ก็นึกอยู่ว่าจะคุยเรื่องอะไรกันดี

                ความจริงก็มีมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของพวกที่เห็นรัฐบาลทำดีแล้วทุรน-ทุราย ริมๆ จะตายตาไม่หลับ!

                แต่อย่าดีกว่า เหมือนยั่วหมาเห่า หนวกหูเปล่าๆ

                พอดีเห็นบทความเรื่อง "ปล้นเงินแผ่นดิน?" ที่นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ โพสต์เฟซ

                และเว็บไซต์ไทยโพสต์ นำมาเผยแพร่เป็นข่าวเมื่อวาน อ่านตอนท้าย ท่านบอกว่า

                "ถ้าใครเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย โปรดแสดงความเห็นออกมาให้ปรากฏ

            เพราะการเป็นประชาธิปไตยที่แท้นั้น ขึ้นอยู่กับการแสดงทัศนคติอย่างเปิดเผย แม้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ควรเคารพ หรือรับฟังทัศนคตินั้นๆ"

            เมื่อระดับอาวุโสกล่าวเช่นนั้น ด้วยเห็นแก่อายุท่านตั้ง ๘๗ ปีแล้ว และใครๆ ก็เรียกว่าปัญญาชนสยาม

                ผม-สามัญต่ำศักดิ์ ขอสนองประชาธิปไตยของปัญญาชนสยามตามที่ร้องขอ ด้วยเคารพในอาวุโส

                คงไม่ยกมาทั้งดุ้นหรอกนะ.......

                อ่านดูแล้ว ผมเข้าใจเจตนาที่อาจารย์ ส.เขียนบทความชิ้นนี้

                ประการแรก ที่อาจารย์ยกเรื่อง "ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์" ของสหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นกถามุข

                ก็เหตุด้วยปัญญาชนรุ่น Original หวังช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์หนังสือ

                ที่ศิษย์ "ปัญญาชนรุ่นโคแตกเขา" แปลและพิมพ์ออกขายตอนนี้

                อีกเจตนา เป็นประการต่อมา........

                ก็หวังด่านายกฯ ประยุทธ์ กองทัพ รัฐบาล โดยยกวาทกรรมไอเซนฮาวร์ ที่กล่าวในบางช่วงสถานการณ์ว่าด้วยเรื่องการซื้ออาวุธ

                อาศัยเป็นเชื้อ เพื่อโยงสรุป เหยียดหยามและกล่าวหารัฐบาล, ทหาร, นายกฯ

                ซึ่งกรณีนี้ ........

                รัฐบาล, ทหาร, นายกฯ "ไม่เสียหาย" หรอก เพราะเข้าทำนอง "องค์พระปฏิมาไม่ราคิน" แค่เถื่อนธุลีคำ

                แต่คนเขียน อาจารย์ ส.ศิวลักษณ์ นั่นแหละ ความเป็น "ผู้ใหญ่" ของท่าน ไม่เสียเช่นกัน

                แต่ดูจะ "เสียคน" ในความรู้สึกของคนอ่านทั่วไป!

                อาจารย์ ส.เขียนตอนหนึ่งว่า......

                "...........มีวาทกรรมประการหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก ดังเขากล่าวว่า งบประมาณของแผ่นดินที่ใช้ไปในการสร้างรถถัง เรือรบขีปนาวุธ ฯลฯ

            ทั้งหมดนี้ คือ การปล้นสะดมเงินของแผ่นดินที่ควรใช้ไปเพื่อช่วยคนยากไร้ คนชรา เพื่อการสาธารณสุข และการศึกษาของเยาวชน"

            ปูพื้นเป็นการลากเข้าบรรยากาศที่กำลังยกเรื่องการจัดซื้ออาวุธโจมตีรัฐบาลอยู่ตอนนี้แล้ว ก็วกเข้าสู่เป้าหมาย ตามข้อความบรรทัดต่อๆ ไปว่า

            "....บทเรียนดังกล่าว ควรนำเอามาใช้กับเมืองไทยหรือไม่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้จะมียศเพียงนายพลเอก แต่ตำแหน่งของเขาก็เทียบได้กับจอมพล

            ซึ่งไม่เคยรบทัพจับศึกที่ไหนเลย และมองไม่เห็นคุณค่าของราษฎรตาดำๆ

            จึงใช้เงินแผ่นดิน เพื่อประโยชน์ของตน และพรรคพวกตน เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า การซื้อขายอาวุธนั้น มีการโกงกินสารพัด

            ไหนจะซื้อเรือดำน้ำจากจีน ซึ่งมีประโยชน์ไว้สำหรับดำไปจับกุ้งจับปลา หรือมิใช่?

            ยังรถถังอีกเล่า เราจะเอาไปตีพม่า มอญ เขมร หรือญวนฉะนั้นหรือ?

            อย่าลืมว่าเราเคยรบกับลาวแล้ว และแพ้ลาวมาแล้ว บทสรุปก็คือ

            อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้ ถ้าไม่มีไว้ฆ่าคนไทยด้วยกันเอง ก็จะได้กำไร ที่แบ่งงบประมาณจากทุกกระทรวงทบวงกรม เอามาเลี้ยงแม่ทัพนายกองต่างๆ เพื่ออุดหนุนให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะของเขาปกครองบ้านเมือง ด้วยการเอารัดเอาเปรียบราษฎรตาดำๆ ต่อไป

            โดยสยบยอมกับอภิมหาอำนาจ โดยเฉพาะก็จีน และตกอยู่ใต้อิทธิพลของบรรษัทข้ามชาติต่างๆ อย่างน่าสมเพชเวทนานัก"

            เนี่ย....

                เหล่านี้ ผมไม่มีหน้าที่เถียงแทนกองทัพ รัฐบาล นายกฯ แต่ในฐานะ คนเสพความคิด, ทัศนคติ, เรื่องราว จากคนระดับปัญญาชนสยาม

                อยากถามว่า.......

                ที่ท่านกล่าวรุนแรงทั้งกับตัวบุคคลและสถาบันอย่างนั้น เป็นเพียง คิดเอา, นึกเอา

                แล้วใช้ความรู้สึก "รัก-เกลียด-ชัง" ตอบสนองอารมณ์ด้านมืด-ด้านสว่าง ที่นอนเนื่องเป็นสันดานตัวท่าน?

                หรือ ที่เขียนเช่นนั้น.....

                เพราะในวัยรัตตัญญูชน ได้รู้-เห็นมาด้วยตัวเอง  

                หรือได้รับรู้-รับฟัง จากตัวบุคคลที่ยืนยันได้

                หรือได้ศึกษา ค้นคว้า พบหลักฐาน เอกสารบันทึก เป็นที่ยืนยันได้จริงตามที่เขียน

                โดยเฉพาะที่เขียนไว้หนักแน่นเป็นจริงจัง ว่า.........

            "อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้ ถ้าไม่มีไว้ฆ่าคนไทยด้วยกันเอง ก็จะได้กำไร ที่แบ่งงบประมาณจากทุกกระทรวงทบวงกรม เอามาเลี้ยงแม่ทัพนายกองต่างๆ

            เพื่ออุดหนุนให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะของเขาปกครองบ้านเมือง ด้วยการเอารัดเอาเปรียบราษฎรตาดำๆ ต่อไป

            โดยสยบยอมกับอภิมหาอำนาจ โดยเฉพาะก็จีน และตกอยู่ใต้อิทธิพลของบรรษัทข้ามชาติต่างๆ" นั่นน่ะ

                ขั้นหนักหนาสาหัสนะ ถ้าเป็นจริงดังที่อาจารย์ ส.กล่าวหา ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร ถึงขนาดนั้นเลย

                "มองไม่เห็นคุณค่าของราษฎรตาดำๆ จึงใช้เงินแผ่นดิน เพื่อประโยชน์ของตน และพรรคพวกตน เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า การซื้อขายอาวุธนั้น มีการโกงกินสารพัด"

                นี่....

                อาจารย์ ส.กล่าวหาถึงขั้นนี้ แน่ใจนะว่า มีหลักฐาน, ข้อมูลในการกระทำตามกล่าว และพร้อมยืนยันต่อสังคม

                จะอ้างแก่ อ้างอาวุโส เที่ยวขอให้เขายกโทษภายหลัง ชนิดหามีสำนึกไม่บ่อยๆ  แบบนั้น มันจะทำให้คำ "คนถ่อย-คนเถื่อน" เด่นเหนือคำ "ปัญญาชน" ขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

                "ไอเซนฮาวร์" น่ะ ......

                เมื่อเข้าสู่การเมือง สปีช "ต่างกรรม-ต่างวาระ" มันก็คือสปีชการเมือง เพื่อบริหารและปกครองในแต่ละสถานการณ์ ตอนปลายสมัย ก็ตกราวๆ พ.ศ.๒๕๐๐-๒๕๐๑ อยู่ในช่วงขับเคี่ยวสหภาพโซเวียต

                ผมชอบอ่านหนังสือพิมพ์ตอนเด็กๆ จำได้ว่า โซเวียตยิงดาวเทียมสปุตนิก

                สหรัฐฯ เสียหน้ามาก .........

                ที่โซเวียตล้ำไปหนึ่งก้าว ไอเซนฮาวร์พลิกเกม จากซื้ออาวุธ ไปทุ่มตั้ง "องค์การนาซา" แข่งด้านอวกาศกับโซเวียต

                มันก็แค่เนี่ย.....

                ไปหยิบ ๑ ใน ๑,๐๐๐,๐๐๐ วาทกรรมการเมืองเขามาเป็นอาวุธทำลายบ้านเมืองตัวเองแบบนี้

            อยู่กันอีกคนละไม่กี่ปี ไม่ต้องทำดีก็ได้ แค่ "คิดดี" ก็เป็นศรีกับเชิงตะกอนแล้วครับ. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"