พรก.กู้เงิน1.9ล้านล.เข้าสภา พรรคร่วมรอสำแดงอิทธิฤทธิ์?


เพิ่มเพื่อน    

      อุตสาหะออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เป็นผลสำเร็จแล้ว

                แต่ก็ไม่แคล้วทำชาวบ้านหงุดหงิดเพราะจ่ายเงินไม่ตรงตามโฆษณาชวนเชื่อ... จากเดิมป่าวประกาศสร้างความหวังครั้งใหญ่อาจขยายไป 6 เดือน ได้รับคนละ 3 หมื่นบาท ต่อมาบอกมีเงินจ่าย 1 เดือน และรอเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เพื่อจ่ายเดือน 2 และ 3 จนมาถึงบทสรุปจ่ายเพียง 3 เดือน ทำคนจนคนยากผิดหวัง

                แม้ล่าสุด ครม.จะขยายจ่ายเงินเยียวยาเป็น 14 ล้านคน  จากเดิม 9 ล้านคน ขณะที่ยอดคนลงทะเบียนมีมากถึง 28.7ล้านคน แต่ก็ยังไม่ทราบว่าจะเกิดปัญหาอะไรตามมาหรือไม่

                สิ่งเหล่านี้สะท้อนไปที่ความเชื่อมั่นของรัฐบาล หลังก่อนหน้าเครดิตกลายเป็นศูนย์ หลังชาวบ้าน รายชื่อตกสำรวจ ชื่อหาย จากปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) สวนทางบางคนรวยกลับได้รับเงินเยียวยาก่อน สะท้อนออกมาหลายเคสหลายราย เกิดเป็นกระแสวิจารณ์ด่ารัฐบาลยับในโลกโซเชียลมีเดีย 

                ที่มาพร้อมกับภาพปรากฏความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าของประชาชนในหลายพื้นที่ อาทิ เขตดอนเมือง ถนนเพชรเกษม สวนลุมพินี และเมืองเชียงใหม่ ไปยืนรอเบียดเสียดรอรับการบริจาคอาหาร เพราะไม่มีจะกินจากการปิดเมืองของรัฐบาล ขณะที่ข้อเรียกร้องของฝ่านค้านก็ให้จ่ายตามทะเบียนราษฎร์ให้ครอบครัวให้เกิดความทั่วถึง เว้นข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ร่วมทั้งคนรวย

                เรื่องเหล่านี้จึงเป็นบทพิสูจน์ความสามารถของทีมเศรษฐกิจ ที่มี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะกอบกู้ความเชื่อมั่นได้อย่างไร

                เพราะหากทำไม่ได้อาจจะถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนขุนพลหรือไม่ สอดคล้องกระแสภายในพรรค พปชร. บางกลุ่มกระตือรือร้นต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ พร้อมเอาคนมีความรู้ความสามารถ มีไอเดียใหม่ๆ จากภายนอก เข้ามากู้ภาพลักษณ์ของรัฐบาล ให้เรือเหล็กลำนี้ประคองตัวแก้ปัญหาปากท้องต่อไปได้

                หลังก่อนหน้านี้พยายามขยี้และดิสเคดิตพรรคร่วมรัฐบาลให้อยู่ในสภาวะต่ำตม เริ่มที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่หมดสภาพทางการเมือง ถูกขยี้จากปมหน้ากากอนามัยขาดแคลนเล่นงาน และยังพลาดเรื่องสต๊อกหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น ซึ่งไม่มีอยู่จริง และสุดท้ายบอกเป็นวัตถุดิบ

                รวมทั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ก็ถูกดูแคลนในการบริหารงาน สธ.ในช่วงวิกฤติโควิด-19 กระทั่งต่อมาทั้งคู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ถูกยึดอำนาจไปในที่สุด ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งมอบอำนาจให้ข้าราชการ เฉกเช่นยุค คสช.

                ดังนั้น กลับมาที่รัฐบาลและทีมเศรษฐกิจ นอกจากการต้องแก้ปัญหาปากท้องให้ชาวบ้านไม่อดตาย ที่สำคัญ "แร้งลง-รุมทึ้ง-เชื้อชั่วไม่ยอมตาย" ต้องไม่เกิดขึ้นกับเงินกู้ 1 ล้านล้านอีกด้วยตามที่ผู้หวังดีออกมาตั้งข้อสังเกตอีกด้วย

                นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องแก้ปัญหาทางการเมืองที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งไม่รู้จะแตกหักหรือไม่ และจะยุติได้อย่างไร

                ล่าสุดมีสัญญาณยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าจากพรรคร่วมรัฐบาล นำโดย นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย บุกกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา ยื่นหนังสือถึง นายอุตตม ชี้แจงและตรวจสอบเรื่องการจ่ายเงิน 5 พันบาท ที่ไม่ทั่วถึง แถมพบปัญหามากมาย ภายใต้ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท

                นายเทพไท ยังได้เสนอให้รัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาประชาชนให้ครอบคลุมผู้เดือดร้อน ตั้งแต่อายุ18 ปีขึ้นไป โดยใช้เกณฑ์ตรวจสอบบัญชีเงินฝาก หากมีเงินฝากในบัญชีไม่ถึง 1 แสนบาท ขอให้รัฐบาลจ่ายเงินผ่านบัญชีให้ทุกคน เพราะถือว่าเป็นกลุ่มยากจนและได้รับความเดือดร้อน ยังเสนอให้แจกเงินเยียวยาเกษตรกรครอบครัวละ 1 หมื่นบาท จากงบประมาณที่รัฐบาลขอใช้ พ.ร.ก.กู้เงิน 6 แสนล้านบาท ไว้สำหรับเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19

                ขณะที่ นายสิริพงศ์ ตั้งข้อสังเกตการปล่อยเงินกู้ซอฟต์โลนวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เสนอออก พ.ร.ก. เพื่อให้ ธปท.ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการรายย่อย เอสเอ็มอีนั้น อยากให้มีหลักเกณฑ์การปล่อยกู้ที่เหมือนกันทุกธนาคาร เนื่องจากกังวลว่าจะไม่สามารถปล่อยกู้ถึงเอสเอ็มอีได้จริง พร้อมกันนี้ยังมีความกังวลในเรื่องการตั้งกองทุนพยุงตราสารหนี้ 4 แสนล้านบาทว่าจะเป็นการช่วยเหลือแต่รายใหญ่ เพราะกองทุนมีขนาดใหญ่ อาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนได้

                การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีกระแสออกมาว่า แกนนำของทั้งสองพรรคร่วมรัฐบาลเปิดไฟเขียวเพราะเลิกทนให้ฝ่ายตัวเองถูกรังแก ขณะที่พรรคแกนนำอย่าง พปชร.เล่นบทพระเอก ทำเรื่องการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจบังหน้าหาคะแนนนิยมทางการเมืองแต่เพียงผู้เดียว ภายใต้ผลประโยชน์ซ้อนอยู่หรือไม่ แต่อีกด้านเจ้าเล่ห์แอบเอาก้อนหินปาหัวเพื่อนบ้าน และโอกาสเหมาะไอ้โม่งยังสอดไส้วางยา พล.อ.ประยุทธ์

                หรือบางกระแสอีกด้านก็บอกว่าแท้จริงแล้วเป็นอัตลักษณ์ของ ส.ส. 3 คนนี้ ที่เป็นเด็กดื้อ มีความคิดเป็นอิสระ ควบคุมไม่ได้ และเป็นฝ่ายค้านในพรรคร่วมรัฐบาล หากเจาะเลือดดู DNA ก็พบว่าจุดยืนต่อต้าน คสช.ไม่ชอบวิธีคิดทหารมาตั้งแต่ต้น

                โดยเฉพาะ นายเทพไท นั้น วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และปะทะคารมกับแกนนำและบรรดาลิ้วล้อ ของ พปชร.มาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ พร้อมยึดหลักรัฐธรรมนูญปราบโกงของ คสช. มาตรา 114  ว่า “สส. เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ภายใต้การผูดมัดแห่งอาณัติของใคร”  เป็นยันต์กันผีให้ตัวเอง

                กระทั่ง นายกรัฐมนตรีต้องออกมาปรามขอความร่วมมือกับพรรคร่วมรัฐบาลให้หยุดการทำเพื่อการเมืองไปก่อน แม้ไม่ได้ระบุว่าพรรคไหนหรือใคร แต่เป็นอันเข้าใจว่าหมายถึง นายเทพไท เสนพงศ์ อย่างแน่นอน

                ปัญหาการเมืองโดยมีวาระ "เด็กดื้อ" จะเกิดขึ้นอย่างไร และพรรคร่วมรัฐบาลจะสำแดงอิทธิฤทธิ์หรือไม่ คงต้องรอดูปลายเดือน พ.ค.นี้ เมื่อสภาเปิดสมัยประชุมเพื่ออนุมัติ พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับ วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท โดยมีเสียง ภท. 61 เสียง และ ปชป. 52 เสียง เป็นฟันเฟืองหลักของรัฐบาลร่วมลงมติ.

 "ลูกครูบ้านนอก"

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"