23 เม.ย.63 - จากกรณีพระมหาไพรวัลย์ วรวัณโณ พระนักเคลื่อนไหวฝ่ายประชาธิปไตย โพสต์เฟซบุ๊กโจมตีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการ และอดีต ส.ว. ว่า นักการเมืองทั้ง ส.ส. ส.ว. และรัฐมนตรีแสดงบทบาทมากน้อยแค่ไหนในช่วงวิกฤติโควิด-19 มีอะไรก็มาลงกับพระกับวัด พระได้เงินเดือนหลักพันบาท ส.ส. ส.ว.ได้เงินหลักแสน ควรมีความละอายกันบ้าง ทำให้นายเจิมศักดิ์ ตอบโต้พระมหาไพรวัลย์ผ่านเฟซบุ๊กกลับไปว่า เป็นพระที่มีท่าทีไม่เหมาะสมกับสมณสารูป ห่วงแต่เงินทองจนไร้สติและขาดการรับฟังด้วยความอ่อนน้อม
ล่าสุด พระมหาไพรวัลย์ ยังเดินหน้าเคลื่อนไหวผ่านโลกโซเชียลอย่างเผ็ดร้อนอีกครั้ง โดยมีเนื้อหากล่าวถึง เปลว สีเงิน คอลัมนิสต์อาวุโส หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ว่าอาตมาขอเขียนถึงนักเขียนที่ใช้นามว่า เปลว สีเงิน นี่หน่อยนะ ส่วนชื่อแซ่ของเขาอย่างเป็นทางนั้นจะต้องเรียกว่าอย่างไร ก็ขออภัยที่อาตมาไม่สามารถระบุได้ เพราะโดยความสัตย์จริง อาตมาไม่รู้จักนักเขียนคนนี้มาก่อน ที่ว่าจะขอเขียนถึง เพราะนักเขียนคนนี้เขียนบทความพาดพิงถึงอาตมา จากกรณีที่อาตมาตอบโต้บทความของโยมเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
จะขอกล่าวในเบื้องต้นอย่างนี้ว่า ที่อาตมาจำเป็นต้องยกเรื่อง สส. สว. มากล่าว เพราะอาตมาถือว่านี่เป็นกิจโดยตรงของสงฆ์ที่ควรจะต้องพูดอย่างนักบวชที่มีหน้าที่เตือนสติได้ ถ้าไม่กล้าจะพูดต่างหาก นั่นแสดงว่า พระสงฆ์ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะเตือนสตินักการเมือง ซึ่งอาสาเข้ามาทำงานรับใช้ชาวบ้าน
อาตมาไม่รู้ว่า เปลว สีเงิน จะมองอย่างไร แต่อาตมามองว่า ข้อความที่อาตมาเขียนถึง สส. หรือ สว. นั้น เป็นการตั้งถาม (อย่างตรงไปตรงมา) อย่างเดียวกันกับที่คนอย่างโยมเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ตั้งคำถามมาถึงพระนั่นเอง
ที่สำคัญคำถามที่อาตมาถามไปนั้น ก็เป็นคำถามที่มาจากชาวบ้าน มาจากญาติโยมแทบจะทั้งนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ดีไม่งามตรงไหน หากอาตมาจะช่วยตอกย้ำว่า สส. และ สว. ควรจะออกมาแสดงบทบาทในการช่วยเหลือชาวบ้านมากกว่านี้ ก็ไหนเปลว สีเงิน เขียนเองไม่ใช่หรอว่า ควรรับฟังเสียงคนอื่น (หัวเราะ)
อาตมาอยากจะกล่าวว่า ที่ยิ่งจะต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะอาตมาเห็นว่า เดี๋ยวนี้เอง แม้แต่ฆราวาสหัวดำทั้งหลาย ถึงที่เป็น สส. สว. หรือนักเขียน นักวิชาการ ก็ยังเอาเรื่องพระเรื่องสงฆ์ เรื่องศาสนา ไปพูดไปตำหนิได้ ถึงในสื่อในทีวีในที่สาธารณะต่างๆ ก็เป็นเรื่องชอบแล้วมิใช่หรือ ที่ทั้งพระและทั้งฆราวาส ก็ควรมีสิทธิ์พอๆ กันที่จะเตือนสติกันได้
อาตมาอยากจะกล่าวว่า การที่พระอย่างอาตมาออกมาตั้งคำถามต่อบทความของโยมเจิมศักดิ์นั้น ไม่ได้หมายความว่า พระจะต้องกลายเป็นจำเลยที่ถูกมองว่า ไม่ทำอะไรเลย หรือห่วงแต่เรื่องปัจจัยเงินทองของตนเอง (อาตมาจะไม่กล่าวเรื่องนี้ได้อย่างไร ก็ในบทความของโยมเจิมศักดิ์ส่วนใหญ่นั้น ล้วนกล่าวถึงแต่เรื่องเงินๆทองๆ แทบทั้งสิ้น)
ในข้อนี้ อาตมาเห็นว่า พระสามารถทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ เป็นการสาธารณะสงเคราะห์ หรือช่วยเหลือชาวบ้าน ไปพร้อมๆ กับการวิจารณ์หรือโต้ตอบบทความของโยมเจิมศักดิ์ได้เช่นกัน (ไม่เห็นด้วยก็ควรมีสิทธิ์โต้แย้งแสดงมุมมองอื่น)
คงเป็นเรื่องไม่เป็นธรรมดอกกระมัง หากคนอย่างเปลว สีเงิน จะมองว่า พระควรนิ่งเงียบอย่างเดียว แล้วปล่อยให้ฆราวาสมาเที่ยวชี้นิ้วสั่งสอนพระอย่างไรก็ได้
อาตมาเห็นว่า กลับกัน เรื่องไหนที่พระไม่เห็นด้วย หรือเห็นว่าควรชี้ให้มองไปในอีกทางหนึ่งมุมหนึ่ง พระก็ควรมีสิทธิ์จะพูดได้ คงเป็นเรื่องไม่ธรรมดอกกระมัง ที่พระจะต้องฟังฆราวาสแต่ฝ่ายเดียว
ในท่อนล่างของบทความ ที่เปลว สีเงิน พูดถึงการใช้เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ (อาตมาไม่มีทวิตเตอร์นะ) หรือสื่อออนไลน์ต่างๆนั้นของพระนั้น (อาตมาคิดว่าเปลว สีเงิน หมายถึงอาตมาโดยตรง)
อาตมาก็เห็นจะต้องแย้งว่า อาตมาใช้สื่อออนไลน์ในการทำประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างคุ้มค่า (คุ้มค่าชนิดอย่างที่คนแก่แบบเปลว สีเงิน นึกไม่ถึงเลยทีเดียวเชียวล่ะ)
อาตมาไม่มั่นใจว่าคนอย่าง เปลว สีเงิน อาจจะคิดว่า สื่อออนไลน์เหล่านี้ สำหรับพระแล้วมีไว้สำหรับเสพเอาความบันเทิง เอาความสนุก หรือมีไว้สำหรับพ่นน้ำลายผ่านแป้นพิมพ์เพื่อวิจารณ์คนอื่น แบบที่เปลว สีเงินทำเป็นงานอดิเรกอยู่ประจำหรือเปล่า
สำหรับอาตมาแล้ว มันมิใช่เช่นนั้นเลย โครงการช่วยเหลือชาวบ้านต่างๆ อย่าง โครงการแบ่งปันน้ำใจจากชาย(ใน) ผ้าเหลือง หรือ โครงการโรงทานออนไลน์ ที่อาตมาทำอยู่นี่ ก็ล้วนแล้วแต่ได้อาศัยคุณประโยชน์มาจากสื่อออนไลน์ทั้งสิ้น
อ้อ เปลว สีเงิน อาจไม่ทราบนะ อาตมาเป็นพระรูปแรกๆ ด้วยซ้ำ ที่ประกาศสละเงินนิตยภัตเปรียญ ๙ ของตนเองไปช่วยชาวบ้าน อันนี้อาตมาทำแล้ว และอาจสอนเปลว สีเงินได้บ้างว่า เปลว สีเงิน ก็ควรสละหรือแบ่งปันเงินเดือนที่ได้มาจากการเขียนวิจารณ์คนอื่นไปช่วยเพื่อนร่วมสังคมบ้าง
ชาวบ้านหลายร้อยครอบครัว ได้ถุงยังชีพพระทำ ได้ข้าวสารอาหารแห้ง ได้นมสำหรับลูกเล็ก ได้สิ่งของจำเป็นสำหรับผู้ป่วยติดเตียง พ่อค้าแม่ค้า ได้เงินอุดหนุนสินค้า ได้แบ่งปันอาหารให้คนยากไร้ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด อาตมาล้วนทำได้ ก็เพราะเห็นประโยชน์ของสื่อออนไลน์เป็นสำคัญ
นี่พูดอย่างเกรงใจเหมือนกัน นอกจากการพ่นน้ำลายแล้ว นักเขียนตกขอบวัยชราแบบเปลว สีเงิน ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากสื่อออนไลน์ในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคมในยามวิกฤตเช่นนี้บ้าง (ถึงไม่ช่วย ก็หวังว่า คนแบบเปลวสีเงิน จะไม่ใช้ความคิดและสติปัญญาของความเป็นนักเขียนที่มีอยู่ ยุยง ปลุกปั่น หรือสร้างความแตกแยกอะไรให้กับคนในสังคมนะ อาตมาตั้งคำถามเฉยๆ)
ที่จริงการทำงานจิตอาสานั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาเขียนโอ้อวดกัน แต่อาตมาจำเป็นต้องพูดถึง เพราะเดี๋ยวคนแบบเปลว สีเงิน หรือใครอีกหลายคนจะมีตรรกะที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลยว่า พระที่ไม่เห็นด้วยกับบทความของโยมเจิมศักดิ์ จะต้องกลายเป็นพวกที่ห่วงเงินทองหรือไม่ทำประโยชน์อะไรต่อสังคมเลย หรือพระที่ตั้งคำถามต่อตัวแทนของชาวบ้าน ต้องไม่สำรวม หรือทำกิจที่ไม่ใช่ของสงฆ์
ถ้าคนแบบเปลว สีเงิน ไม่อยากเห็นพระแบบอาตมาพูดเรื่องที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ งั้นอาตมาก็ฝากไว้ด้วยแล้วกันนะ บทความหน้าของโยม ช่วยวิจารณ์ สส. และ สว. ให้ที ช่วยวิจารณ์รัฐมนตรี (อย่าเลือกวิจารณ์เฉพาะนักการเมืองบางคนที่ตัวเองไม่ชอบล่ะ) ช่วยตั้งคำถามถึงบทบาทหน้าที่ในการช่วยเหลือชาวบ้านแทนที
นี่เขียนถึงอย่างเกรงใจ (คนแก่) อยู่นะ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |