สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) สร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก และทำให้เราได้เห็น “เหรียญสองด้าน” ของมนุษยชาติ ด้านหนึ่ง ผู้คนต่างพยายามสุดกำลังความสามารถเพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังได้รับผลกระทบ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเปรียบเสมือนกองทัพหน้า ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่กำลังเดือดร้อนในภาวะที่หลายธุรกิจหยุดชะงัก ขณะที่อีกด้าน เราได้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ อันเกิดจาก “ความกลัว” และการตั้งแง่ในเรื่อง “ต้นกำเนิด” ของการแพร่กระจายไวรัส กลายเป็นความรังเกียจเดียดฉันท์ ซึ่งกำลังเป็นกระแสอย่างหนักในขณะนี้
“อคติ” เรื่องเชื้อชาติเป็นปัญหาเรื้อรังที่หยั่งรากลึกมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อเกิดสถานการณ์โรคไวรัสระบาดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จึงกลายเป็นตัวกระตุ้นให้คนจีน รวมถึงคนเอเชียตกเป็นเป้าของการเหยียดเชื้อชาติอย่างชัดเจนขึ้น
ทั้งการ Cyberbully รวมถึงกิจการค้าขายที่เป็นของคนจีนไม่มีใครอยากเข้าไปอุดหนุน ตัวคนจีนเองก็ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม ตีตัวออกห่าง ถูกมองว่าเป็นแหล่งของโรค เป็นที่รังเกียจของสังคม คนเอเชียรวมถึงคนไทย แม้จะไม่ได้มีเชื้อสายจีนก็ถูกเหมารวมไปด้วย เพราะเอาเข้าจริงๆ หน้าตามันไม่อาจบ่งบอกได้ว่าใครมาจากไหน
ในทางกลับกันฝั่งเอเชีย ยกตัวอย่างในประเทศไทยเราก็มีอคติเรื่องนี้ไม่น้อย กับกรณีที่นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกไม่สวมหน้ากากอนามัย ถึงขั้นขับไล่ไสส่งกลับประเทศ กลายเป็นดรามาไปทั่วโลก
ต้นเหตุของเรื่องนี้ส่วนหนึ่งมาจาก “การตีความหมาย” ของการสวมหน้ากากอนามัย โดยคนเอเชียตะวันออกรวมถึงคนไทยจะสวมหน้ากากเพื่ออนามัยส่วนบุคคล เพื่อป้องกันโรค เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม
ในขณะที่ชาวตะวันตก การสวมหน้ากากอนามัยมีความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยจะใส่เมื่อป่วยหรือเป็นโรค เพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกให้ผู้อื่นอยู่ห่างๆ และเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโดยไม่นำเชื้อโรคไปแพร่กระจายสู่ผู้อื่น
เมื่อการตีความหมายเรื่องหน้ากากอนามัยต่างกัน ดังนั้นการที่ชาวตะวันตกเห็นชาวเอเชียใส่หน้ากากอนามัยจึงมองว่าเป็นคนป่วยและต้องออกห่าง ในขณะที่ชาวเอเชียกลับมองชาวตะวันตกที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัยว่าไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
ต่างคนต่างมุมมอง ต่างความเข้าใจ จึงกลายเป็น “อคติ” เกิดการแบ่งแยก เหยียดชาติพันธุ์ เหยียดวัฒนธรรม รุนแรงขึ้นเป็นลำดับตามจำนวนของผู้ติดเชื้อที่กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก
นักกีฬาของ วัน แชมเปียนชิพ จำนวนไม่น้อยที่เป็นลูกผสมหรือมีหลายสัญชาติ พวกเขาตระหนักถึงเรื่องนี้และต้องการรณรงค์ให้ทุกคนยุติอคติในเรื่องเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ จึงแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ยืนหยัดเพื่อเผชิญหน้ากับการเหยียดเชื้อชาติ ด้วยการรณรงค์ผ่านคลิปวิดีโอในแคมเปญที่มีชื่อว่า #WeAreONE Against Racism
เมื่อเราทุกคนต่างกำลังใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่หยุดชะงักจากผลกระทบของไวรัสโคโรนา พวกเรากำลังเผชิญกับภาวะที่ไม่ปกติและไม่คุ้นเคยเฉกเช่นเดียวกันทั่วทั้งโลก โดยไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าประเทศไหนหรือเชื้อชาติใด…ถึงเวลาแล้วไหมที่เราควรจะต้องกำจัด “อคติ” เหล่านี้ให้หมดไป
“No country has a face. No virus has a race. End the hate. End racism,”
ใบหน้าไม่อาจบ่งบอกประเทศที่มา ไวรัสไม่เลือกเล่นงานเฉพาะบางเผ่าพันธุ์ หยุดความเกลียดชัง หยุดการเหยียดเชื้อชาติ ไม่ว่าเรามาจากไหน ทุกคนต่างกำลังมีศัตรูเดียวกัน เราควรร่วมกันเผชิญหน้าและต่อสู้กับไวรัสนี้ เพื่อคืนความปกติสุขกลับสู่โลกของเราให้เร็วที่สุด!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |