Our Loss is Our Gain


เพิ่มเพื่อน    


ทำดีๆ...งานนี้ อาจพลิกหน้า-พลิกหลังระดับ “Our Loss is Our Gain” อย่างที่ล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านเคยทรงชี้แนะ ชี้นำ ไว้ในพระราชดำรัสเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว (พระราชดำรัส 4 ธันวาคม พ.ศ.2534 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต) เอาเลยก็ไม่แน่!!! โดยเฉพาะถ้าสามารถ “เข้าถึง-เข้าใจ” ต่อสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นไทย” หรือ “ความเป็นตัวตนของสังคมไทย” ได้แบบจะจะ จังๆ...
-----------------------------------------------
คือด้วยเหตุเพราะการออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ที่กำลังส่งผลให้เกิด “วิกฤติเศรษฐกิจ” ตามมาในระดับสุดจะหนักหนา สาหัส ชนิดอาจถึงขั้น “The Great Depression” เอาเลยนั้น ย่อมเป็นที่รับรู้ รับทราบกันโดยทั่วไปและอย่างเป็นที่แจ้งชัด ว่ายังไงๆ...มันคงไม่ได้เกิดจากรัฐบาลไทย หรือจากประชาชนคนไทยอยู่แล้วแน่ๆ แต่เป็นเรื่องของโลก ที่ทุกชาติ ทุกภาษา ต่างได้รับผลกระทบไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือเป็นเรื่องที่จะ “โยนบาป” ให้ใครคนใด คนหนึ่ง รัฐบาลใด รัฐบาลหนึ่ง ไม่ได้โดยเด็ดขาด อีกทั้งไม่ได้เกี่ยวกับระบบ ว่าใครเป็นประชาธิปไตย ใครเป็นเผด็จการอีกต่างหาก เพราะไม่ว่ารัฐบาลไหนต่อรัฐบาลไหน ล้วนแล้วแต่...เดี้ยงกับเดี้ยง...ไปด้วยกันทั้งนั้น...
------------------------------------------------
ปัญหามันจึงขึ้นอยู่กับว่า...รัฐบาลนั้นๆ จะมี “ปฏิกิริยา” ต่อวิกฤติ หรือต่อความเสียหายที่กำลังเกิดขึ้นไปในลักษณะใด และอันนี้นี่เอง...ที่ทำให้พระราชดำรัส ว่าด้วยกรณี “Our Loss is Our Gain” จึงเป็นอะไรที่ออกจะสอดคล้องกับยุคสมัย สอดคล้องกับความเป็นไปที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ดังที่ได้ทรงอรรถาธิบายรายละเอียดเอาไว้เป็นขั้นๆ ไล่มาตั้งแต่ที่ได้ตรัสเอาไว้ว่า “ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่าของเรา Our Loss...Loss ก็การเสียหาย การขาดทุน Gain ก็คือกำไร หรือที่ได้ หรือส่วนที่เป็นรายรับ เป็นอันพูดกับเขา (พระราชอาคันตุกะที่ทรงพบปะในช่วงขณะนั้น) ว่า...Our Loss is Our Gain คือการขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือเราขาดทุน เราก็ได้กำไร...”
-----------------------------------------------
รวมทั้งทรงอธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ด้วยว่า... “การกระทำใดๆ ที่ดูเหมือนเสียเปล่า (เช่น การให้ การเสียสละ) แต่สุดท้ายแล้วกลับจะได้ผลกำไรทั้งทางตรงและทางอ้อม” หรือกำไรอันจะนำมาซึ่งความสงบสุข ความอยู่เย็นเป็นสุขของประเทศชาติและสังคม ที่ผู้คนในชาตินั้นๆ สังคมนั้นๆ ย่อมต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง พัวพัน มีส่วนได้รับผลกระทบไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย หรือพูดง่ายๆ ว่า...วิกฤติที่กำลังถาโถมเข้ามาเล่นงานทุกสังคม ทุกประเทศ ณ ขณะนี้ และในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ถ้าหากมันไม่ก่อให้เกิดความระส่ำระสาย ความปั่นป่วน วุ่นวาย การทะเลาะเบาะแว้ง ชนิดต้องหันมาห้ำหั่น ทำลาย กันและกัน หรือไม่ถึงกับทำให้ประเทศไทย สังคมไทย ต้อง “พัง” เอาง่ายๆ อันนั้นนั่นแหละ...ถือเป็น “กำไร” ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมของคนไทยอย่างชนิดถ้วนทั่วทุกตัวคน...
  ------------------------------------------------
ดังนั้น...ไม่ว่าจะ “Loss” กันไปแล้วเท่าไหร่ แต่ถ้าหากผู้ที่ยังคงดำรงรักษา “ความเป็นไทย” หรือ “ความเป็นตัวตนของสังคมไทย” เอาไว้ได้ ด้วยการพร้อมกระทำการใดๆ ที่ดูเหมือนสูญเปล่า พร้อมจะให้ พร้อมจะเสียสละ โอกาสที่จะ “Gain” กันไปทั้งประเทศ ชนิด “Our Loss is Our Gain” อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ทรงชี้แนะ ชี้นำเอาไว้ ย่อมเป็นไปได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ ดังนั้นแทนที่จะหันมาไล่กัด ไล่ฟัด ไล่งับ ออกอาการแค้นจัดกัดดะ ฝังเขี้ยวจมน่อง กันต่อไป สู้หันมาสร้าง “กำไร” หันมาให้ มาเสียสละ สิ่งใดๆ ก็ตาม ที่จะช่วยทุเลา เบาบาง วิกฤตการณ์และผลกระทบ ให้มันลดน้อยลงไปที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ น่าจะดีกว่า เข้าท่ากว่า เป็นไหนๆ...
 -------------------------------------------------
คือ “Loss” คราวนี้...คงต้องยอมรับว่า มันออกจะเป็นอะไรที่ฉิบหาย วายป่วง กันไปมิใช่น้อย ระดับอาจเปลี่ยนโลก เปลี่ยนโครงสร้าง เปลี่ยนวิถีทาง หรือเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละสังคม เอาเลยก็ว่าได้ การมองหา หรือมองเห็น สิ่งที่ถือเป็น “กำไร” จึงน่าที่จะเปลี่ยนๆ ไปจากเดิมอยู่มั่ง ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะประเภทที่ไม่คิดจะเสียเปล่า สูญเปล่า เอาเลยแม้แต่นิด หรือประเภทคิดอะไรเป็นเงิน เป็นทอง ซะจนเคย มาคราวนี้...ถ้าหากยังมองไม่เห็น “กำไร” อันมีที่มาจากการ “ขาดทุน” จากการให้ การเสียสละ อันจะเป็นตัวนำมาซึ่งความสงบสุข ความสงบร่มเย็น ของชาติ บ้านเมือง สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่ามีเงินเท่าไหร่ มีทองเท่าไหร่ แต่ถ้าหากไม่มีประเทศให้อยู่ ให้ยืน อย่างมาก...ก็คงไม่ต่างอะไรไปจาก “สัมภเวสี” ที่ต้องอาศัย “ช่องทางตามธรรมชาติ” เผ่นไปเคว้งๆ คว้างๆ โฮมซิค โฮมอโลน จนตราบเท่าทุกวันนี้...
----------------------------------------------------
ด้วยเหตุนี้...เอาเป็นว่า ไม่ว่ามหาเศรษฐี ไม่มหาเศรษฐี ไม่ว่ายาก ดี มี จน ไม่ว่าชนชั้น ชั้นชนใดๆ ก็แล้วแต่ และไม่ว่าภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคเอ็นจีโอ เอ็นโตดี ฯลฯ จุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การช่วยทุเลา เบาบาง สิ่งที่เป็นวิกฤตการณ์และผลกระทบ ไม่ว่าเกิดขึ้นแล้วและกำลังเกิดขึ้นต่อไปนับจากนี้ คงหนีไม่พ้นไปจากการมองเห็น “กำไร” อันเนื่องมาจากการ “ขาดทุน” นั่นเอง พร้อมที่จะให้ พร้อมเสียสละ สิ่งใดๆ ก็ตาม เพื่อนำไปสู่ความสงบสุข ความร่มเย็น ของสังคม ของชาติบ้านเมือง ส่วนบางรายนั้น...ถือซะว่า แค่เลิกด่า เลิกไล่งับ ไล่ฟัด เลิกแค้นจัดกัดดะ ก็ต้องถือเป็นการให้ การเสียสละ มากพอแล้ว...
  ------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก “Kalidasa in Shakuntala” ... “Grief must be share to be endured. - ความทุกข์ต้องมีการแบ่งบัน จึงจะแบกรับเอาไว้ได้...”
                                                                       ----------------------------------------------------


 
                                                                   


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"