20 เม.ย.63- ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ชวลิต แสวงพืชน์ ผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตร. ( ผบช.สทส.) และ หน.ฝอ.ศปอส.ตร. พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) ร่วมกันแถลงข่าวการจับ นางสลิล หรือ กิ๊ฟ ปันศรี อายุ 56 ปีและ นางสาววีณ์รฐา หรือ น้ำ วิภารัตนเศรษฐ์ อายุ 55 ปี ขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัยและขายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด พร้อมด้วยของกลางหน้ากากอนามัย 497,000 ชิ้น
พล.ต.ท.ชวลิต ระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด- 19 ทำให้มีกลุ่มมิจฉาชีพอาศัยช่วงโอกาส กักตุนหน้ากากอนามัยนำเสนอจำหน่ายผ่านทางโซเชียลมีเดีย แล้วนำมาจำหน่ายในราคาแพง เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับความเดือดร้อน เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการเทคนิคและสืบสวน ศปอส.ตร. สืบสวนพบว่ามีกระบวนการนำเข้าหน้ากากอนามัย จากต่างประเทศ แล้วลักลอบจำหน่ายในปริมาณมากลักษณะการขายส่ง ในราคาแพงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เมื่อผู้ค้ารายย่อยมาซื้อไปแล้วจะนำไปขายต่อให้กับผู้ค้ารายอื่นหรือขายให้กับประชาชนทั่วไปก็จะมีการบวกกำไรอีกเป็นทอดๆ ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปอีก เป็นการซ้ำเติม สร้างความเดือดร้อนประชาชนทั่วไปที่มีความจำเป็นจะต้องใช้หน้ากากอนามัยจึงได้ประสานงานกับ บก.ปคบ. และ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมดำเนินการ โดยได้ให้สายลับแฝงตัวไปอยู่ในกลุ่มผู้ค้าหน้ากากอนามัย
ต่อมา นางสลิล ปันศรี ได้ติดต่อกับสายลับอ้างมาว่า สามารถหาหน้ากากอนามัยมาจำหน่ายจำนวนมากกว่า 10 ล้านชิ้น ให้สายลับหานายทุนมาซื้อได้ ชุดสืบสวนจึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ วางแผนการล่อซื้อ กระทั่งวันที่ 18 เม.ย.เจ้าหน้าที่จึงติดต่อล้อซื้อหน้ากากอนามัยจาก นางสาววีณ์รฐา โดยมี นางสลิล เป็นนายหน้า ได้ตกลงจะซื้อหน้ากากอนามัย จำนวน 1,000,000 ชิ้น ในราคาชิ้นละ 11.50 บาท รวมเป็นเงิน 11.5 ล้านบาท นัดหมายรับสินค้ากันในวันที่ 19 เม.ย.2563 เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่เข้าทำการจับกุม นางสลิล และนางสาววีณ์รฐา ได้ที่ บริษัท กานต์สลิล ซัพพลายเออร์ จำกัด ตั้งอยู่ที่ 3/354 ซ.เทพนิมิตรเหนือ ถ.เอกชัย-บางบอน แขวงบางบอน เขตบางบอน กทม. พร้อมของกลาง หน้ากากอนามัยประมาณ 5 แสนชิ้น พร้อมกล่องไม่ระบุยี่ห้อ จำนวน 7,500 กล่อง ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพ
เบื้องต้นแจ้งข้อหา พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ประกอบกับ ประกาศคณะกรรมการกลาง ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการหน้ากากอนามัย 1.จงใจทำให้ราคาต่ำเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วน ซึ่งราคาของสินค้า (หน้ากากอนามัย) อันมีความผิดมาตรา 29 และมีโทษตามมาตรา 41 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปีหรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2. เป็นผู้ผลิตไม่แจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ ต้นทุน ค่าใช้จ่าย แผนการผลิต กระบวนการผลิต และวิธีการจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ อันมีความผิดมาตรา 25 และมีโทษตามมาตรา 38 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะแจ้ง
พล.ต.ท.ชวลิต กล่าวด้วยว่า ขอฝากถึงพี่น้องประชาชนว่า ขออย่าได้หลงเชื่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่โพสต์ โฆษณา ชวนเชื่อ ให้ซื้อสินค้าต่างๆ ผ่านทาง Online เพราะจะตกเป็นเหยื่อ ถูกหลอกให้สูญเสียทรัพย์สินได้ อย่างไรก็ตาม หากพี่น้องประชาชนมีเบาะแส หรือได้รับความเดือนร้อนจากการเอารัดเอาเปรียบในการจำหน่ายหน้ากากอนามัยหรือเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ สามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วนของ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ที่สายด่วนหมายเลข 1155 และ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |